เมื่อเอ่ยถึงร้านอาหาร ไฟน์ ไดนิ่ง (Fine dining) แน่นอนว่าส่วนใหญ่มักนึกถึงอาหารฝรั่งเศส บรรยากาศสุดหรู อาหารเลิศรสที่หลายคนเลือกมาทานในวันสำคัญกับคนพิเศษ จนเราไม่อาจจินตนาการได้ว่า หากอาหารไทยถูกนำเสนอในลักษณะ Fine dining บ้างจะเป็นอย่างไร จะคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกท่านก้าวไปสู่ความอัศจรรย์ของรสอาหารไทยที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณที่มีต่ออาหารไทยไปอย่างสิ้นเชิง กับ รอยัล โอชา (Royal Osha) ร้านอาหารไทยไฟน์ ไดนิ่ง (Fine Dining) ที่ได้รับการแนะนำจาก Michelin Guide ปี 2019 และ 2020 โดยเชฟดีกรี มิชลิน 1 ดาว ชื่อดังของไทย เชฟวิชิต มุกุระ มารับหน้าที่เอ็กเซ็กคูทีฟเชฟ (Executive chef) รังสรรค์เมนูสุดหรูที่ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ทำงานที่ได้เดินทางไปรอบโลกกว่า 40 ปี มาไว้ที่ร้าน รอยัล โอชา แห่งนี้
พิกัดของร้าน รอยัล โอชา ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ หัวมุมซอยร่วมฤดี ทางร้านมีบริการที่จอดรถอยู่โซนด้านหลังของร้าน หรือจะเดินทางโดย MRT (สถานีลุมพินี), BTS (สถานีเพลินจิต) แล้วต่อรถมายังร้าน ความรู้สึกแรกเมื่อก้าวเข้าสู่ รอยัล โอชา ต้องตื่นตากับการตกแต่งร้านสไตล์ไทยวิจิตรโมเดิร์น กลิ่นอายพระราชวังสมัยโบราณ ตระการตาด้วยสถาปัตยกรรมโทนสีเข้มตัดกับสีทองจากทองคำแท้บริสุทธิ์แฝงกลิ่นอายความเป็นไทยไว้ในทุกรายละเอียด ทั้งจิตรกรรมฝาผนังบริเวณชั้นลอยที่บอกเล่าเรื่องราว รามเกียรติ์ และโคมแชนเดอเลียร์รูปชฎาขนาดใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ของร้านรอยัล โอชา
ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล เจ้าของ ร้านรอยัล โอชา เล่าจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งร้านอาหารไทย ไฟน์ ไดนิ่ง ว่า “ด้วยความที่ครอบครัวชอบสรรหาของกินและเดินทางไปทั่วโลก เพื่อไปชิมอาหารจากร้านอาหารชื่อดัง รวมถึงร้านที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ทำให้มีโอกาสได้เข้าร้านอาหารที่เป็นไฟน์ ไดนิ่งบ่อยครั้ง ซึ่งร้านประเภทนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ ไปพร้อมกัน จึงอยากนำพาอาหารไทย ซึ่งเป็นอาหารที่มีเสน่ห์ รสชาติดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่จุดนั้นบ้าง ดังนั้นรอยัล โอชา เป็นร้านอาหารไทยแห่งแรกที่เป็นลักชัวรี่ ไทย ไฟน์ ไดนิ่ง เราอยากให้ร้านนี้เป็นสถานที่พิเศษของทุกคน สถานที่สำหรับฉลองในโอกาสสำคัญ หรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง รวมทั้งได้พบ เชฟวิชิต มุกุระ ที่มีความตั้งใจเดียวกันมาร่วมงาน โดยเข้ามาช่วยเสริมความละเมียดละไมและความพิถีพิถันในการรังสรรค์อาหารไทยไฟน์ ไดนิ่ง ให้เป็นรูปธรรม ประกอบกับน้องสาว พุธ-เกวลิน พิทยานุกุล มีใจรักในด้านการทำอาหาร โดยเรียนจบการโรงแรมจากสวิสเซอร์แลนด์ และจบการทำอาหารจากอังกฤษ ซึ่ง เชฟวิชิต และ พุธ-เกวลิน เป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันครีเอทเมนูต่าง ๆ ภายในร้านให้มีความพิเศษยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังเปิดโซนใหม่คือ โซนกลาส เฮ้าส์ ไว้สำหรับ บริการในรูปแบบ Chef’s Table อีกด้วย เป็นนอกจากนี้ยังได้วางแผนที่จะขยายสาขาร้านรอยัล โอชา ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ”
ด้าน เชฟวิชิต มุกุระ เชฟดีกรี มิชลิน 1 ดาว ในฐานะ Executive Chef ร้าน รอยัล โอชา เผยว่า “ผมรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ร้านรอยัล โอชา ในการนำพาอาหารไทยไปสู่อีกระดับนึง นับเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะอยากให้คนทั่วโลกมองว่าอาหารไทยไม่ใช่เพียงสตรีทฟู้ด แต่เป็นอาหารที่มีความลึกซึ้ง แฝงไปด้วยวัฒนธรรม โดยเมนูเชฟเทเบิ้ลของร้านได้รับการครีเอทขึ้นจากประสบการณ์การทำงานกว่า 40 ปี ของผม ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เป็นการนำของดีของเมืองไทย มาผสานกับวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า อาหารแต่ละจานจะครบรสแบบอาหารไทยดั้งเดิม และคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน”
สำหรับเมนู Chef’s Table ของร้านโอชาจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล โดยประเดิมเมนูแรกด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย หอยสังข์พล่า (ญี่ปุ่น) ก๋วยเตี๋ยวห่อผักสลัด (Japanese Conch shell with fresh herbs salad in rice noodle roll) เชฟวิชิตได้อินสปายเรชั่นจากการได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยหอยสังข์ถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบล้ำค่าที่พลาดไม่ได้ นำมาปรุงรสแบบไทยๆ ด้วยพริกยำ เมื่อรับประทานจะได้สัมผัสกรุบๆ ของเนื้อหอยเคล้ารสชาติเค็มเปรี้ยวหอมกลิ่นสมุนไพรไทยอย่าง หอมแดง และตะไคร้
เนื้อปูทาราบะกับชะครามทอด กับใบชะพลูไทย (Deep fried Taraba crab meat with seabrite and piper leaves) เมนูทานเล่นที่มีหน้าตาคล้ายเทมปุระ แต่รสชาติอาหารไทย โดยนำใบชะคราม ของขึ้นชื่อจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงคราม นำมายำแบบไทยๆ เคล้ากับแป้งทอดกรอบ เนื้อปู ห่อด้วยใบชะพูทอดสไตล์เทมปุระ ใครที่ชอบปอเปี๊ยะห้ามพลาดเมนู ปอเปี๊ยะตับห่านปิรามิดกับซอสพริก (Triangular Foie Gras spring roll with chilli sauce) ปอเปี๊ยะแบบไทยๆ แต่ถูกรังสรรค์ในรูปแบบ ซาโมซ่า ของว่างยอดนิยมของอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศ โดยเชฟนำตับห่านมาเซียร์ ใส่วุ้นเส้น แล้วห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ ทานคู่กับซอสพริก
ตื่นตากับเมนูของว่างถึงเวลาเปิดประสบการณ์รสสัมผัสใหม่ของอาหารไทยตำรับรอยัล โอชา กับเมนคอร์ส อาทิ หอยเชลล์ทอดกับไข่ตุ๋นน้ำจิ้มซีฟู้ด (ลอนดอน) (Pan fry scallop with steamed egg and spicy chilli lime sauce mixed salad) เมนูที่เชฟวิชิตได้ไอเดียมาจากการไปทำงานที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดดเด่นด้วยการผสานความนุ่มละมุนของเนื้อไข่ตุ๋น เคล้ากับกลิ่นหอมและความสดของหอยเชลล์ เพิ่มความจัดจ้านด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษของเชฟ
ถัดมาเป็นเมนูต้มโคล้งที่ฉีกรูปแบบจากต้มโคล้งที่มักเสิร์ฟแบบหม้อไฟ ถูกนำมาดีไซน์เป็น ต้มโคล้งปลากรอบกับทูน่า (ญี่ปุ่น) (Clear smoked dried fish soup with seared yellowfin tuna and green pea) จานนี้ได้แรงบันดาลใจจากน้ำซุปกระดูกหมูราเมนของญี่ปุ่น โดยนำเครื่องต้มโคล้งมาบดกับเนื้อปลา ปรุงรสแล้วเคี่ยวในน้ำสต็อกปลานานกว่า 6 ชั่วโมง ก่อนจะกรองจนได้น้ำซุปใสรสชาติหอมของเครื่องต้มโคล้ง ทานคู่กับไชเท้าตุ๋น และปลากรอบ เพิ่มมิติของรสชาติให้กลมกล่อมมากขึ้น
อีกหนึ่งเมนูที่ร้านอาหารไทยขาดไม่ได้ นั่นคือ เมนูแกง โดยเชฟได้รังสรรค์ แกงกะหรี่ล็อบสเตอร์ทอดกับข้าวทอด แหนมเห็ด (สวิตเซอร์แลนด์) (Fried Lobster with yellow curry and deep fried rice, mushroom salad) โดยได้แรงบรรดาลใจจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อแกงกะหรี่รสจัดจ้าน เค็ม เปรี้ยว หวาน หอมเครื่องเทศแบบไทย ทานคู่กับ ล็อบสเตอร์ วัตถุดิบล้ำค่าแห่งท้องทะเล เคียงด้วย ข้าวทอด แหนมเห็ด มันเทศ เพิ่มความสนุกในรสสัมผัสด้วย เกี๊ยวกุ้งแกงกะหรี่ และ ข้าวหอมมะลิแดง จาก บุรีรัมย์
สำหรับเมนูของหวานของร้านรอยัล โอชา ยังคงคอนเซปต์รสชาติไทย นำเสนอสไตล์โมเดิร์น ได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ดอกจอกใบเตยกับหวานเย็นข้าวหมากกับสาเก (Sweet fermented rice sorbet with crispy coconut and rice flour shell) เป็นความลงตัวของรสชาติเค็มๆ หวานๆ ของขนมดอกจอก ทานคู่กับหวานเย็นข้าวหมาก ราดด้วยสาเกยูสุ รองด้วย ฝอยทอง และข้าวหมากที่นำไปแนบบนกระทะจนกรอบ สังขยาน้ำตาลไหม้กับเครื่องเคียง (Steamed coconut egg custard with condiments) อีกหนึ่งเมนูของหวานที่น่าลิ้มลอง สังขยาเนื้อเนียนหวานกำลังดี เคล้ากลิ่นหอมของน้ำตาลไหม้ เรียกว่าเป็นการเปิดประสบการณ์แห่งรสชาติอาหารไทย ในสไตล์ ไฟน์ ไดนิ่งที่น่าประทับใจจนต้องกลับมาเยือนอีกสักครั้ง
ใครอยากลองมาชิม Chef’s Table โดย เชฟวิชิต มุกุระ ที่ “รอยัล โอชา” (Royal Osha) ร้านอาหารไทย ไฟน์ ไดนิ่ง (Fine Dining) ที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์ ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า 1 สัปดาห์ แล้วมาลองชิมอาหารฝีมือเชฟที่คุณต้องร้องว้าว!!
Comments are closed.