>>ร้านอาหารญี่ปุ่น “ซูม่า (ZUMA)” ตั้งอยู่ภายในโรงแรมเซนต์รีจิส กรุงเทพฯ ชั้น G เชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ ซึ่งแม้ ”ซูม่า” จะตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศใจกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย แต่บรรยากาศในร้านกลับทำให้รู้สึกง่ายๆ สบายๆ เข้าถึงความมีเอกลักษณ์อันหลากหลาย ในสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดต้นตำรับความเป็นญี่ปุ่นออกมาอย่างครบถ้วนด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัยตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่ยังคงซึ่งรสชาติและกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆแบบดั้งเดิมเอาไว้
ภายในร้านตกแต่งอย่างพิถีพิถันด้วยวัสดุจากธรรมชาติที่เน้นการรวมตัวในคอนเซปท์ของธาตุทั้งสี่ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ โต๊ะที่นั่งที่ถูกจัดวางให้ไฟส่องลงมาตรงกลางอย่างพอดี ประดับภายในร้านด้วยโคมไฟตั้งพื้นสีเหลืองแดงและผ้าไหมไทยวิจิตรสีแดงแบบธาตุไฟที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ภายนอกร้านมีสวนญี่ปุ่นและบ่อน้ำเล็กๆกับหินธรรมชาติที่ขนมาตกแต่งกันจากเชียงใหม่ให้บรรยากาศธรรมชาติสบายๆ ไม่ว่าจะมากันเป็นหมู่คณะ มาดินเนอร์กันสองต่อสอง หรือมาเป็นครอบครัว ทางร้านก็มีพื้นที่เหลือเฟือกว่า 200 ที่นั่งจัดสรรไว้อย่างลงตัว ทั้ง Private Dining Room เคาท์เตอร์บาร์ หรือเทอร์เรซที่สามารถสูบบุหรี่ได้ ก็ถูกจัดแยกไว้อย่างเป็นสัดส่วนเหมาะกับการมาสังสรรค์ในทุกโอกาสแน่นอน
ซูม่าได้รับแรงบันดาลใจจากการทานอาหารแบบไม่เป็นทางการหรือที่เรียกว่า อิซากายะ ซึ่งคนญี่ปุ่นนิยมแวะทานอาหารง่ายๆ หลังเลิกงานแบบเป็นกันเองในบรรยากาศที่ครึกครื้น โดยมักจะสั่งเบียร์หรือสาเกทานคู่กับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปิ้งย่างหรือเมนคอร์ส ร้านได้นำเอาหัวใจของอิซากายะสไตล์คือการเสิร์ฟอาหารแบบต่อเนื่องและเป็นอาหารที่แชร์กันระหว่างโต๊ะมาปรับใช้ สร้างเสริมบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนานระหว่างมื้ออาหาร นอกจากนี้ยังนำไอเดียดั้งเดิมจากการทำอาหารรอบกองไฟของคนญี่ปุ่นมาประยุกต์ให้ทันสมัย โดยเลือกใช้ถ่านสำหรับเตาปิ้งย่างโรบาตะในการสกัดรสชาติแท้ๆของวัตถุดิบนั้นๆ ออกมา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูม่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก
อาหารแต่ละจานของซูม่าก็ทำได้อย่างประณีตตั้งแต่การสร้างงานศิลป์บนจาน ที่ทั้งตกแต่งอาหารอย่างพิถีพิถันน่ารับประทานและตื่นตาตื่นใจ ไปจนถึงภาชนะในแบบฉบับของซูม่าที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ทั้งอุณหภูมิ รสชาติและความมีมิติที่เชฟใส่ลูกเล่นลงไปในอาหารทุกคำก็ทำให้ทานแล้วรู้สึกเซอร์ไพรส์กับรสชาติของอาหารที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเก่าแก่ผสมผสานกับความโมเดิร์นอย่างลงตัวที่เป็นเสน่ห์ของที่นี่ ต้องบอกเลยว่าพลาดไม่ได้จริงๆ กับเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ ของร้าน
เมนูเด่นประจำร้านก็คือ ปลาแบล็กคอดหมักซอสมิโซ ที่ใช้เวลาในการหมักถึง 4 วัน ทานกับซอสยูซึที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว อีกเมนูหนึ่งที่เลือกใช้รสหวานหอมกลมกล่อมของปลาแบล็กคอดมาทำก็คือ เกี๊ยวซ่าไส้ปลาแบล็กคอดและกุ้ง นอกจากนี้ยังมีเมนูซูชิเด็ดๆ แบบที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง ข้าวปั้นเนื้อวากิวทาทาร์พร้อมไข่ปลาคาเวียร์ ที่ใช้หัวไช้เท้าบางๆ ห่อแทนสาหร่าย รสชาติอร่อยติดลิ้น, ชุด Special Nigiri รวมข้าวปั้นรสเลิศหลากสไตล์ได้แก่ ข้าวปั้นหน้าปลาทูน่าติดมันพร้อมซอสวาฟู, ข้าวปั้นหน้าปลากะพงขาวพร้อมซอสเยลลี่โทซาซู, ข้าวปั้นหน้าแซลมอนลนไฟพร้อมไข่ปลาและรากบัวทอด, Spicy Otoro Maki ข้าวห่อไส้ปลาทูน่าส่วนท้องปรุงด้วยรสเผ็ดแบบตะวันออกจากพริกญี่ปุ่น ความอร่อยสุด Exclusive ที่ไม่มีให้สั่งในเมนู เรียกได้ว่าเป็นเมนูสุด Special ที่อร่อยจนลูกค้าเล่ากันแบบปากต่อปากต่อๆ กันให้มาสั่งเลยทีเดียว
เมนูใหม่อีกเมนูของซูม่าที่ต้องสั่งก็คือ Beef tatare with nori toast, shiso and lotus crisps เป็นเนื้อหั่นละเอียดผสมหอมใหญ่ แตงกวา งาดำ งาขาว เสิร์ฟพร้อมสาหร่ายกรอบและเครื่องเคียงอย่าง ขนมปังปลาหมึกสีดำและใบชิโซ ทานพร้อมกันแบบเมี่ยง อร่อยกับเนื้อสัมผัสที่ทั้งนุ่มและกรุบกรอบในคำเดียวกัน, Chilean Seabass with green chili ginger dressing ปลากะพงย่างเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดขิงและพริกหยวกที่มีรสอร่อยลงตัวระหว่างเนื้อปลานุ่มๆ และพริกเขียวครีมซอสมายองเนส เครื่องดื่มที่นี่ก็พลาดไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Zuma Ice Tea ชาเขียวกับเสาวรสและแอปเปิลรสเปรี้ยวติดลิ้น, Yoshi Nura เครื่องดื่มซ่าๆ รสชาติสดชื่นเข้ากับอาหารได้เป็นอย่างดี ตบท้ายกันด้วยของหวานกับ Benzaiten Dessert Platter ช็อกโกแลตสูตรพิเศษสไตล์ซูม่าและคัสตาร์ดหน้ามะม่วงและมะพร้าวอ่อนราดฟองเสาวรส เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวานิลลาและชาเขียวสุดอร่อยที่ทางร้านทำเอง
ซูม่าเปิดบริการเป็น 2 ส่วนคือส่วนของร้านอาหารเปิดให้บริการวันอาทิตย์-พุธ ช่วงมื้อเที่ยง 12.00-15.00 น. มื้อเย็น 18.00-23.00 น. ซึ่งในวันพฤหัสบดี-เสาร์ขยายเวลาช่วงมื้อเย็นจนถึงเวลา 23.30 น. ในส่วน Lounge and Bar เปิดบริการในวันจันทร์-พฤหัสบดีช่วงเวลา 12.00-00.00 น. และในวันศุกร์กับเสาร์ขยายเวลาปิดไปจนถึง 01.00 น.
โปรโมชันสุดพิเศษ “Happy Hour” ของซูม่าที่พลาดไม่ได้ ในช่วงเวลา 15.00-21.00 น. ของทุกวัน จะให้บริการเครื่องดื่มไวน์ขาวและไวน์แดงราคาเพียง 100 บาทต่อแก้ว หรือ 600 บาทต่อขวด พร้อมต้อนรับสาวๆ ด้วยโปรโมชัน “Ladies' night” ให้สาวๆ รับฟรีทันทีไวน์ขาวหรือไวน์แดง เมื่อมานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ระหว่าง 21.00-23.00 น. ของทุกๆ วันพฤหัสบดี ใครอยากลองแวะไปสัมผัสเสน่ห์แห่งบรรยากาศและอาหารที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวแบบซูม่า ติดต่อสำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2252-4707 หรือ http://www.zumarestaurant.com
Comments are closed.