จิสบาร์ (Jisbar) คือ ศิลปินดาวรุ่งจากฝรั่งเศส วัยเพียง 29 ปี แต่เดินทางจัดแสดงงานมาแล้วทั่วโลกทั้งซานฟรานซิสโก ลอนดอน ปารีส เวนิซ ดูไบ และล่าสุดคือกรุงเทพฯ ที่เขาเลือกเป็นสถานที่เปิดตัวนิทรรศการศิลปะครั้งแรกของเขาในเอเชีย โดยนอกจากจะนำงานสีเผ็ดจี๊ดมาแสดงให้ชาวไทยได้ชมกันที่โรงแรม SO Sofitel Bangkok แล้ว “จิสบาร์” ยังมีไฮไลต์ คือ การฝากฝีมือเพนต์จักรยาน BMW M Cruise Bike 3 คัน ซึ่งเขาใส่จินตนาการลงเต็มที่ จนกลายมาเป็นชิ้นงาน Art Bike อันน่าประทับใจ ซึ่งทั้ง 3 ชิ้น ซึ่งถูกจัดแสดงอยู่ในงาน JISBAR’s PLAYGROUND ด้วย
ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ ศิลปินหนุ่มดาวรุ่งจากแดนน้ำหอม โดยสำหรับผู้ที่สนใจสามารถแวะเวียนไปชมนิทรรศการ JISBAR’s PLAYGROUND พร้อมชมจักรยาน BMW Art Bike ได้ที่โรงแรม SO Sofitel Bangkok ตั้งแต่วันนี้ ถึง 13 มีนาคม 2562
Q : อยากให้แนะนำตัวเองหน่อยครับ
A : สวัสดีครับ ผมชื่อ JISBAR (จิสบาร์) เป็นศิลปินจากฝรั่งเศส ปัจจุบันอายุ 29 ปี เป็นศิลปินอาชีพมานานกว่าสิบปีแล้ว ผมจัดแสดงงานทั่วโลกครับ ผลงานที่เคยจัดแสดงไปก็มีทั้งที่ ซานฟรานซิสโก ลอนดอน ปารีส เวนิซ ดูไบ และล่าสุดคือกรุงเทพฯ ผมอาศัยและทำงานศิลปะอยู่ที่ปารีส ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนและจัดแสดงนิทรรศการศิลปะที่เอเชีย ในชื่อ JISBAR’s PLAYGROUND ที่โรงแรม SO Sofitel Bangkok ซึ่งรู้สึกภูมิใจมากครับที่จะได้โชว์ผลงานของผมให้ทุกคนได้ชมกัน รวมถึงจักรยาน BMW ที่เป็นไฮไลต์ของการจัดแสดง
Q : งานของคุณส่วนใหญ่จะมีป๊อปไอคอนดังๆ เป็นส่วนประกอบหลักเสมอ ทำไมคุณถึงเลือกหยิบป๊อปไอคอน (เช่น โมนาลิซ่า มาริลีน มอนโร มิกกี้ เม้าส์ ฯลฯ) มานำเสนอ และทำไมคุณถึงเลือกการใช้สีสันฉูดฉาดสดใส ต้องการสื่อสารถึงอะไรหรือเปล่า
A : สำหรับผม วัฒนธรรมป๊อปเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนสังคมและโลกที่เราอยู่ได้เป็นอย่างดี pop culture คือภาพสะท้อนยุคสมัยของพวกเรา ผมตั้งใจอยากบันทึกถึงสิ่งเหล่านี้ บันทึกถึงยุคสมัยของพวกเรา บรรยากาศที่พวกเราเติบโตมา รวมถึงความรู้สึกของตัวเอง โดยหวังว่า การถ่ายทอดผ่านงานศิลปะจะทำให้ภาพสะท้อนเหล่านี้คงอยู่ตลอดไป นั่นเองเป็นเหตุผลที่ผมเลือกถ่ายทอดงานผ่านเหล่าป๊อปไอคอน และแบรนด์ดังต่าง ๆ เพราะความป๊อปของสิ่งเหล่านี้ช่วยสื่อสารสิ่งที่ผมตั้งใจสื่อได้
นอกจากนี้ ผมเลือกใช้สีสันฉูดฉาดก็เพราะสีสันเหล่านั้นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดี ทั้งยังสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก และสารที่ผมอยากบอกเล่าได้อย่างครบถ้วน
Q : คอนเซ็ปต์ของนิทรรศการ JISBAR’s PLAYGROUND ครั้งนี้คืออะไร?
A : งานนี้เป็นงานแสดงเดี่ยวในเอเชียครั้งแรกของผม ดังนั้นผมเลยถือโอกาสลองเล่นใหญ่ดูสักหน่อย เพราะอยากทำให้ก้าวแรกของการจัดแสดงงานที่เมืองไทยน่าประทับใจ ที่งานนี้ คุณจะได้เห็นผลงานคลาสสิกหลากหลายชิ้นของผม ทั้งยังได้เห็นสไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเทคนิคและวิธีการนำเสนอ ซึ่งผมนิยมสร้างสรรค์งานโดยเน้นการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกตอนนั้น ๆ เป็นหลัก
Q : รู้สึกอย่างไรที่การเยือนไทยครั้งนี้ คุณมีโอกาสเพนต์จักรยาน BMW M Cruise Bike ถึง 3 คัน และการเพนต์ครั้งนี้ แตกต่างจากการเพนต์รถยนต์ BMW X2 คราวก่อนอย่างไรบ้าง
A : BMW ถือเป็นแบรนด์หรูที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ดังนั้นการได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับแบรนด์ระดับนี้ถือเป็นประสบการณ์พิเศษมาก ตอนที่ได้เพนต์รถยนต์ X2 ที่ยุโรป ผมก็ทั้งตื่นเต้นและยินดี สำหรับการเพนต์จักรยาน M Cruise Bike ครั้งนี้ยิ่งน่าตื่นเต้นครับ
สำหรับคอนเซปต์ในการเพนต์จักรยาน ผมเน้นการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึก ณ ขณะเพนต์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เพราะจักรยานถือเป็นวัตถุที่มีขนาดเล็ก เพนต์ยากพอสมควร คอนเซ็ปต์คือเหมือนผมได้นำจักรวาลของตัวเองมาละเลงลงบนจักรยาน โดยใช้ทั้งการพ่นสเปรย์ ใช้สีอะครีลิก และการเขียนข้อความ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำที่เกี่ยวกับการปั่น เพราะที่ปารีสผมก็ใช้จักรยานในการเดินทางอยู่แล้ว
Q : คอนเซ็ปต์ในการเพนต์จักรยาน BMW คืออะไร
ปกติผมจะสร้างสรรค์งานโดยเน้นการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึก ณ ขณะนั้นเป็นหลัก ครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ คอนเซ็ปต์คือ เหมือนผมได้นำจักรวาลของผมมาละเลงลงบนจักรยานเหล่านี้ เริ่มจากคันสีดำก่อนนะครับ ผมเลือกผสมผสานสีดำและทองเข้าด้วยกัน เพื่อสะท้อนถึงความหรูหราของแบรนด์ BMW และจากสีดำทอง จากนั้นผมก็ค่อยๆ เติมสีสันใส่ล้อของคันต่อมา (คันสีชมพูฟ้า) และสีสันก็ค่อยๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในคันสุดท้าย (คันสีแดงน้ำเงิน) เหมือนวิวัฒนาการน่ะครับในคันสุดท้ายผมตั้งใจใช้สีน้ำเงิน ขาว แดง เพื่อสื่อถึงธงชาติไทย ขณะเดียวกัน สีเหล่านี้ก็พ้องกับธงชาติฝรั่งเศสด้วย มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกของผมแบบสดๆ เลยครับ ถ้าคุณสังเกตอีกอย่าง จะพบว่าทั้ง 3 คันนี้ถูกเพนต์โลโก้ (สัญลักษณ์ Jisbar) อยู่บนส่วนสีดำด้านหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้คือคอนเซ็ปต์ซึ่งสะท้อนภาพใหญ่ระดับโลกที่ผมตั้งใจสร้างสรรค์บนจักรยาน BMW
Q : ถ้าคุณมีโอกาสเพนต์รถระดับตำนานของ BMW คุณจะเลือกรุ่นไหม และจะเพนต์เกี่ยวกับอะไร
A : แน่นอนครับว่าต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BMW i8 ผมรักรูปทรงและดีไซน์ของรถรุ่นนี้มาก นี่คือรถที่สมบูรณ์แบบในสายตาของผม เป็นมากกว่ารถ แต่สะท้อนถึงความล้ำสมัย จิตวิญญาณผจญภัย ความหรูหรา ทั้งหมดนี้รวมตัวอยู่ในนวัตกรรมอันสมบูรณ์แบบของรถคันนี้
Q : มีศิลปินที่คุณยึดเป็นต้นแบบ หรือ role model ไหม ถ้ามี คนนั้นคือใคร และทำไมคุณถึงชื่นชอบ
A : role model ของผมคือเหล่าศิลปินที่เรารู้จักและคุ้นชื่อกันดีครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วศิลปินเหล่านี้ล้วนประสบความสำเร็จในแนวทางของตนเอง แต่ถ้าต้องเลือกแค่คนเดียว ผมจะเลือก ฌอง-มิเชล บาสเกีย (Jean-Michel Basquiat) จิตรกรผิวสีชาวอเมริกันชื่อดังในยุค 80s เพราะเขาเป็นคนที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกผ่านชิ้นงานศิลปะได้ลึกดี
Q : อะไรคือตัวจุดประกายให้คุณอยากลุกมาสะบัดฝีแปรง หรือเริ่มต้นทำงานศิลปะสักชิ้น
A : งานคลาสสิกทุกชิ้นครับ ผมได้เรียนรู้ผ่านงานเหล่านั้นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคต่างๆ หรือรูปแบบการถ่ายทอดตัวแบบ (subject) ในงานศิลปะ เวลาที่ผมเลือกงานคลาสสิกมาถ่ายทอด ผมจะเติมความเป็นตัวผมลงไปด้วย เหมือนใส่ลายเซ็นต์ตัวเองเข้าไปในชิ้นงานนั้น
Q : มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเทคโนโลยี กับงานศิลปะ โดยเฉพาะกับ AI (ปัญญาประดิษฐ์) คุณคิดว่า AI จะทำงานศิลปะได้ดีไหม
A : ความจริงศิลปินสามารถใช้เทคโนโลยีมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ สมัยก่อนแอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ก็สร้างงานด้วยการถ่ายเอกสารมาแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ใช้เทคโนโลยีมาช่วยเวลาดีไซน์งานเวอร์ชัน 3 มิติ แต่ถ้าพูดถึง AI ซึ่งผมเคยเห็นมาแล้วว่าสร้างงานศิลปะได้ ผมก็ยังเชื่อว่า AI ไม่มีทางแทนที่จินตนาการของมนุษย์ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการสร้างสรรค์งานศิลปะได้แน่นอน
Q : ในมุมมองของคุณ จุดไหนที่ถือว่าศิลปินสักคน “ประสบความสำเร็จ” แล้ว
A : แค่ตื่นขึ้นมา มีรอยยิ้มบนใบหน้า และเป็นสุขที่จะได้ทำงานโดยไม่ต้องก่นด่าอะไร นั่นก็เรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จแล้วครับ สำหรับผม ความสำเร็จเป็นเรื่องปัจเจกมากๆ แต่ละคนอาจจะนิยามต่างกันไป เราจึงไม่ควรเอามาตรวัดของคนอื่นมาตัดสินความสำเร็จของเรา ถ้าคุณมีความสุขและเปี่ยมพลังที่ได้ทำงาน นั่นก็แปลว่าคุณเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จแล้วนะ
Q : อยากให้เล่าถึงบรรยากาศที่ฝรั่งเศสหน่อยว่า สภาพแวดล้อมที่นั่นช่วยส่งเสริมการทำงานในฐานะศิลปินอาชีพของคุณอย่างไรบ้าง และคนทำงานศิลปะถูกให้คุณค่ามากแค่ไหนในประเทศคุณ รวมถึงอยากให้ช่วยแนะนำหน่อยว่า คนทั่วไปจะสามารถช่วยส่งเสริมงานศิลปะร่วมสมัยได้อย่างไรบ้าง
A : ผมเชื่อว่า ปารีสและฝรั่งเศส ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับใครสักคนที่อยากทำงานศิลปะ เพราะประเทศนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน บรรยากาศของฝรั่งเศสนั้นรุ่มรวยและเต็มไปด้วยศิลปะ ถือว่าศิลปะแวดล้อมอยู่ในทุกอณูของวัฒนธรรมเราก็ว่าได้ ในฐานะคนฝรั่งเศส ศิลปะถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเรา ประหนึ่งฝังอยู่ในดีเอ็นเอ พวกเราเติบโตมาพร้อมกับศิลปะ และมีศิลปะแทรกอยู่ในการเรียนรู้ของพวกเราเสมอ ขณะเดียวกัน ถ้าคุณทำงานศิลปะ คุณไม่ควรจำกัดมุมมองของตนเอง ดังนั้นในฐานะประชากรของโลกใบนี้ ผมเชื่อว่า การเดินทางสามารถเปิดโลกและช่วยให้เราเรียนรู้ ค้นพบวัฒนธรรมและผู้คนใหม่ๆ ได้ ซึ่งในฐานะศิลปิน นั่นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
Comments are closed.