คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เดิน เดิน เดิน จะไปทำบุญในวันพระที่วัด แต่ยังเช้ามืด
เอ๊ะวันนี้ที่ทางเข้าประตูวัดมีรถจอดมากเหลือเกิน..
ระหว่างทางเจอแม่ค้ากำลังยืนเตรียมตั้งร้านขายของ
แม่ค้าส่งยิ้มรื่นมาให้และชวนคุย เธอบอกเพิ่งขายเข็มขัดนาคโบราณของแม่ได้เงินมาแปดหมื่น แล้วก็เอาเข็มขัดเส้นใหม่ที่เพิ่งซื้อมาแทนเส้นที่ขายไปให้ฉันหยิบจับดู เป็นเข็มขัดที่สวยมาก ที่หัวเข็มขัดเป็นตะปุ่มลายไทย ยื่นออกมา เข็มขัดทั้งเส้นนั้นเป็นสีทอง…
ผละจากแม่ค้า ฉันรีบเดินไปยังประตูทางเข้าวัดเมื่อผ่านประตูโผล่พ้นเข้าไป เห็นตึกสูงและห้างร้านเปิดไฟสว่างอยู่…อ้าว!!! กลายเป็นถนนสีลม นี่ฉันจะรีบไปวัด แล้วมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกันนี่..
ฉันรีบวิ่งไปขึ้นลิฟท์ แล้วมองลงมาจากลิฟท์สูงๆ นั้น ที่ด้านล่างอีกผั่งหนึ่งเป็นเมืองใหญ่มีตึกรามมากมาย
อีกฝั่งหนึ่งตรงข้ามกันนั้นเห็นแม่น้ำและต้นไม้เขียวๆ ฉันเลือกไปลงลิฟท์ยังฝั่งที่มีแม่น้ำกับต้นไม้ ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งจะไปลงลิฟท์นั้น ระหว่างทางฉันเจอรูปปั้นงานเก่ารูปกินรีของตัวเองซึ่งชำรุด มีแต่หัวและส่วนเอวลงไปถึงขาท่อนล่าง ส่วนกลางของลำตัวนั้นขาดหาย…แต่ทางเจ้าของร้านอาหารแห่งนั้นได้นำมาจัดวาง โดยนำแกนเหล็กแท่งเล็กๆ มาเชื่อมต่อระหว่างหัวกับลำตัวที่หายไปเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม
เจ้าของร้านแห่งนั้นได้นำงานของฉันมาจัดวางไว้หน้าร้านเพื่อเชิญชวนลูกค้าเข้าร้าน..
แม้งานจะชำรุด แต่ได้ถูกนำมาจัดวางไว้อย่างสวยงามมาก ฉันหยุดยืนมองที่ใบหน้าของงานนั้น ..เธอช่างแสนอ่อนหวาน และฉันยืนดูงานของตนเองจนร้องไห้…
“ฉันจะปั้นเธอขึ้นมาใหม่นะ”
ฉันบอกกับตัวเอง แล้วตัดใจวิ่งไปลงลิฟท์เพราะจะสายจนไม่ทันไปทำบุญที่วัด..
ฉันลืมตาตื่นขึ้น ด้วยเสียงไก่ขัน…
โอ…เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นฉันแค่ฝันไป
แม้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วนั้น ฉันยังคงจดจำความรู้สึกอันดื่มด่ำของตนเอง ที่ได้ไปยืนมองงานกินรีซึ่งชำรุดชิ้นนั้นได้อย่างแม่นยำ
ฉันเปิดถุงดินเหนียวอันเป็นที่รัก ควักดินออกมาจากถุง นวดและคลึงดินนั้นลงไปบนพื้นผ้าพลาสติกที่ปูไว้กับพื้นบ้าน กับความรู้สึกในหัว ที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยภาพจากการหลับฝัน
ดินเหนียวก้อนนั้นถูกปั้นเป็นโครงร่างของหญิงสาวและคลุมทิ้งไว้..
พอให้ดินได้คลายความชื้นลงและเริ่มแห้งในส่วนขา ฉันจึงค่อยๆ จับชิ้นงานให้ยืนขึ้นและค้ำยันด้วยดินเหนียวอีกก้อนหนึ่ง
เพื่อไม่ให้งานที่ยังไม่เสร็จสิ้นและยังเปียก อีกทั้งขาอันเรียวเล็ก ที่ไม่มีแกนกลางด้านในนั้น จะล้มครืนลงมา
ฉันปั้นลำตัวอันแบบบางและเติมส่วนอก ปั้นศรีษะและเครื่องประดับบนศรีษะอย่างแหลมๆ สร้างลวดลายบนเครื่องประดับนั้นอย่างง่ายๆ ด้วยการกดจากปลายไม้ แล้วขูดลำตัวอันแบบบางนั้นให้เรียบเนียนด้วยเครื่องมืออันทำจากขดลวด ใส่เครื่องประดับที่ต้นแขน และรอบเนินอก ทั้งสองข้าง ปั้นดอกไม้กลีบเรียวยาวแล้วตัดให้โค้งเล็กน้อย เพื่อความอ่อนหวานแล้วติดแนบดอกไม้นั้นลงไปที่ข้างหู…
ใส่ปีกทั้งสองข้างซ้ายและขวา ปั้นดินเป็นเส้นๆ แล้ววางในตำแหน่งของร่างกายท่อนล่างให้ดูเห็นเป็นกางเกง ขูดดินเบาๆ ด้วยเครื่องมือขดลวดขนาดเล็ก ให้ดูมีลายคล้ายเส้นขนของสัตว์ปีก… มือข้างหนึ่งนั้นทำท่าจีบนิ้วไว้กลางหว่างอก อีกข้างหนึ่งนั้นเล่าให้เหยียดนิ้วโค้งงอนงามราวกับกำลังตั้งท่ารำ…
แล้วฉันก็ลุล่วงในการงาน ที่มีแรงบันดาลใจมาจากความฝันในยามหลับ
ย้อนคิดไปให้หลังเมื่อสิบกว่าปีที่ได้ผ่านมาแล้ว เมื่อฉันได้เดินทางไปเที่ยวยังเมืองหลวงพระบาง ในขณะที่ฉันกำลังเดินจะเข้าชม ณ พิพิธภัณฑ์ ในหลวงพระบาง ฉันได้เหลือบไปเห็นแผ่นป้ายโฆษณาแผ่นหนึ่งที่ติดตั้งอยู่ในกรอบ ด้านหน้าทางเข้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น..
ซึ่งทำให้ฉันซึ่งกำลังเดินอยู่ถึงกับต้องปรี่เข้าไปดูภาพที่อยู่ในแผ่นโฆษณานั้นด้วยความสนใจ และตะลึงในความงามของกินรีตนหนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในภาพ เมื่อฉันได้อ่านดูข้อความบนแผ่นป้ายนั้นกลับพบว่า กินรีที่เห็นในภาพนั้น คือกินรีที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร ของเรานั่นเอง ฉันเก็บภาพความงดงามของกินรีตนนั้นไว้ในความรู้สึกด้วยความประทับใจ
และเมื่อกลับมายังกรุงเทพฯ ฉันจึงตรงดิ่งไปยังพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของเราในทันที และได้เอ่ยปากถามต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เดินเสาะหาไปยังห้องแต่ละห้อง ยังทิศทางที่เจ้าหน้าที่ได้ชี้บอก..
จนกระทั่งฉันได้ไปยืนอยู่ข้างหน้า กินรีแสนงาม ในภาพนั้น…ในที่สุดภาพที่เห็นข้างหน้า คือกินรีปูนปั้นที่สูงกว่าตัวคน มีการลงสีลำตัวด้วยสีขาว เจือกับส่วนที่เป็นผ้าและเครื่องประดับสีน้ำตาล มีหลายส่วนในรูปอันงดงามนั้นที่ได้ผุพังและชำรุดไปตามกาล..เอวองค์อันอ่อนช้อยและวงหน้าอันประกอบด้วยดวงตาและรอยยิ้มที่วาดจากฝีมือช่างโบราณนั้นช่างงดงามอย่างซื่อตรงและแสนบริสุทธิ์
ฉันเดินกวาดตามองไปรอบๆ กินรีรูปนั้น..รอบๆ กินรีรูปนั้นและภายในห้องแห่งนั้น ดูเหมือนสิ่งของต่างๆ ในนั้นได้ถูกจัดวางอย่างยังไม่มีระเบียบนัก เหมือนเป็นของเก่าๆ ที่มาอยู่รวมๆ กันอย่างไม่ได้ถูกจัดแต่งในขณะเวลานั้น แต่แม้รอบข้างจะเป็นอย่างไรก็ตามไม่ได้ทำให้ความงามและทรงคุณค่าของกินรีตนนั้นถูกลดทอนลงไปได้เลยแม้แต่น้อยนิด…ฉันยืนมองและเก็บรับความงามนั้นผ่านทางสายตา เข้ามาสู่ใจ
เมื่อกลับถึงที่พักฉันได้ปั้นกินรีขึ้นมาอย่างที่ใจฝัน เป็นตัวแรก จนสำเร็จเสร็จลง เมื่อฉันนำเข้าเตาเผา กินรีชิ้นนั้นกลับระเบิดในเตาเผา ตรงช่วงฐานของงานที่ติดกับเท้า ทำให้ขาหักและฐานแตกออกจากกัน มีบางส่วนที่แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนเกินกว่าที่จะนำมาปะติดปะต่อซ่อมเข้าด้วยกันอย่างเดิมได้…ฉันจึงบรรจงทุบถ้วยกระเบื้องเก่าๆ ที่มีลวดลายดอกไม้ และเลือกเอาตรงเฉพาะกระเบื้องที่แตกออก ตรงลายดอกไม้นั้น มาปะติดลงไปในส่วนฐานด้วยกาวซ่อมงาน และได้นำก้อนหินธรรมชาติที่เคยเก็บจากผืนดินแล้วสะสมไว้ มาร่วมปะติดปนกันไปกับกระเบื้องลายดอกไม้เหล่านั้น
ในที่สุดฉันก็ได้กินรีตัวแรก จากฝีมือของฉันเอง ซึ่งได้ถ่ายเทความงามที่ฉันซึมซับมาจากการได้เห็นกินรีโบราณอีกต่อหนึ่ง..อุบัติเหตุจากการเผางานแล้วระเบิดนั้น ทำให้เกิดสิ่งใหม่คือ การปะติดดอกไม้และก้อนหินเอาไว้ในส่วนฐานอันเป็นที่ยืนของกินรีของฉัน ซึ่งพอจะเป็นการสื่อความหมายให้กับงานได้ว่า
ระหว่างหนทางก้าวเดินในชีวิตของเราๆ นั้นประกอบไปด้วยความสุขและความทุกข์ ความสุขนั้นแทนค่าด้วยลายดอกไม้ ที่ถูกทุบมาจากถ้วยกระเบื้อง ความทุกข์นั้นแทนค่าด้วยแผ่นก้อนหินที่ปะติดปะต่อสลับกันไว้นั่นเอง
ด้วยภาพจากแผ่นกระดาษโฆษณาที่แรกเห็นที่เมืองหลวงพระบาง และการตามหาจนพบกินรีในภาพ คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันได้ปั้นกินรีตัวแรกขึ้น
ในเวลานับสิบปีผ่านมา ภาพในขณะหลับฝัน ถึงงานกินรีของตนเองชิ้นที่เคยปั้นไว้นานแสนนานครั้งกระนั้น ได้มาผุดขึ้นในความฝัน จนไปยืนดูแล้วร้องไห้ คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันสร้างงานกินรีชิ้นใหม่ ของฉันขึ้นมาอีก..
ไม่มีบทสรุปของคำว่าแรงบันดาลใจที่ดีใดๆ จากฉัน..นอกเหนือไปกว่า การอยากจะบอกว่า เมื่อใดที่เราได้พบเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันประทับใจ เอิบอาบในความรู้สึก จับต้องไม่ได้แต่ความรู้สึกนั้นแผ่ซ่านครอบคลุมในหัวใจของเราอย่างที่สุด สิ่งนั้นฉันเรียกมันว่า แรงบันดาลใจ
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.