คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ณ ชายคาของบ้านหลังน้อย ที่โอบล้อมไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ดอกไม้นานาต่างแข่งกันผลิบานในฤดูร้อน ชบาสีหวาน ยี่โถสีชมพู ดอกไข่ดาวที่หอมอ่อนสะอาด และบุหงาส่าหรี ส่วนลั่นทมนั้นเล่าก็ผลิบานออกช่อดอกและส่งกลิ่นอันหอมฟุ้งให้ปรากฏอยู่ในทุกฤดู อีกทั้งยามโรย ก็ยังทิ้งดอกขาวนวลนั้นลงประดับพื้นดินให้งดงาม
ฉันนั่งทำงานของตนเองอยู่ภายในบ้าน บางขณะที่มือกำลังขูดขีดลงบนเนื้อดินนั้น ฉันกลับรู้สึกเศร้า..
งานชิ้นใหม่ล่าสุดของฉัน มันช่างแทบไม่ต่างจากงานชิ้นเดิมๆ ที่ล่วงมาแล้ว…
นี่ฉันยังคงย่ำอยู่กับที่หรือ???? ฉันถามตัวเอง พลางมองแม้สาวน้อยดินปั้นหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราแต่เจือไปด้วยความเศร้าที่อยู่เบื้องหน้าฉัน
ฉันหมุนแป้นที่วางชิ้นงานเป็นวงกลมเพื่อดูไปรอบๆ… ใช่….ฉันเห็นเธอสวยที่สุดอยู่เพียงด้านเดียว..
แต่เธอไม่ควรที่จะถูกสร้างมาเพื่อที่จะมองได้เพียงด้านเดียว
“ฉันอยากให้เธอเห็นฉัน..เท่าที่ฉันอยากให้เห็น”
เป็นประโยคที่ผุดขึ้นในใจของฉัน ในขณะที่ฉันหยุดดูงานปั้นในด้านที่สวยที่สุด
“ไม่!!! นี่ถือเป็นความบกพร่องและไม่สมบูรณ์ในงาน ที่ฉันจะต้องแก้ไข”
ฉันโต้ตอบไปมาในความคิดของตัวเอง อย่างเด็ดเดี่ยว..ฉันควรสร้างให้เธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม และพร้อมที่จะถูกจ้องมองได้ในทุกๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง ทุกด้านของเธอควรจะมีความงามที่ไม่แพ้กัน
การสื่อสารกับตัวเองได้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบในระหว่างการทำงาน
ฉันมองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวดินปั้นที่อยู่ข้างหน้าฉัน ดวงหน้าของเธอนั้นสวยแต่เจือเศร้า..ฉันพยายามที่จะหลีกหนีความเศร้าที่มองเห็นนั้น ด้วยการกดเครื่องมือที่ทำจากขดลวดขนาดเล็ก ลงบนริมฝีปากของงานให้เกิดเป็นรูปรอยยิ้ม และก็ได้ผล เธอดูมีรอยยิ้มหวานขึ้นมาเล็กน้อย
มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนว่า เธอไม่ได้ยิ้มให้กับใคร แต่เธอกำลังยิ้มให้กับตัวของเธอเอง
ฉันฉุกคิดไปถึงความเป็นจริงในตัวของฉัน ที่มักมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอยู่เสมอ
และรอยยิ้มบนใบหน้าของฉันถูกส่งออกไปด้วยสาเหตุหลายประการ
ฉันยิ้มออกไป เพราะฉันต้องการที่จะทักทายกับคนที่ฉันยิ้มให้
ฉันยิ้มออกไปเพราะฉันกำลังมีความสุข
ฉันยิ้มออกไปเพื่ออยากที่จะรู้สึกเข้มแข็งและสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง
ฉันยิ้มออกไปเพื่อหวังที่จะคงไว้ซึ่งความเยาว์วัยให้อยู่กับตัวเองให้นานที่สุด
และฉันยิ้มออกไป ด้วยเพราะฉันรู้ดีว่า “รอยยิ้ม นั้นเป็นสิ่งที่สวยงามกว่าเครื่องประดับใดๆ“
แต่ทว่า..ฉันก็ได้รับรู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองนั้น กลับไม่สามารถบดบังความเศร้าได้ เป็นการรับรู้ผ่านสายตาอันเฉียบลึกของเพื่อนกวีผู้พี่ท่านหนึ่งที่ฉันได้พานพบ..จนทำให้ฉันต้องหยุดคิดและทบทวนค้นหาในความเศร้าของตัวเอง
โอ..ความเศร้าใดไหนหนอ ที่มาแอบแฝงอยู่ในตัวฉัน โปรดช่วยแสดงตัวและไปจากฉันเสียที
ฉันคิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ นานา ในชีวิตที่ผ่านมาและเป็นอยู่ เมื่อฉันกวาดตามองไปที่หญิงสาวดินปั้นชิ้นต่างๆ ของตัวเองที่อยู่รายรอบ
ฉันก็พบความเศร้าในงานของฉันแทบทุกชิ้น พวกเธอบรรจุไปด้วยความสวยเจือเศร้า ดวงหน้าที่มีรอยยิ้มอันอ่อนโยน เส้นแสดงความเป็นขอบตานั้นโค้งหรุบลง แม้จะยิ้มและงาม แต่มันเป็นความงามที่เจือไปด้วยความเศร้า
ฉันเพ่งพิศดูชิ้นงาน และปล่อยให้ใจของตัวเอง หลงเพลินอยู่กับเรื่องของความเศร้าไปในชั่วขณะ
ฉันพบว่าในชีวิตนั้นประกอบไปด้วยความเศร้ามากมายหลายประการที่รายล้อมเราอยู่..
ความเศร้าเกิดขึ้นอย่างดาย เพียงแค่ฉันเปิดถุงดินเหนียวถุงใหม่ที่กำลังจะใช้ปั้นงาน และพบว่า มันเป็นดินเก่าที่ถูกนวดน้ำทิ้งค้างไว้นานแล้ว จนเมื่อมันถูกส่งมาถึงฉัน มันก็แห้งแข็งเกินกว่าจะใช้ทำงานให้มีคุณภาพดีได้
ความเศร้าบังเกิดเพียงแค่การได้ยินได้ฟังเรื่องเศร้าของเพื่อน เพียงเท่านั้นหัวใจของฉันก็พาลเศร้าไปด้วย
ความเศร้าสลดบังเกิดขึ้นเมื่อเห็นนกเล็กๆ ที่สวยงามถูกแมวที่ฉันเลี้ยงไว้รุมกัดจนตาย ฉันเดินหน้าเข้าหาความเศร้านั้นด้วยการไปหยิบเสียมเล็กๆ สำหรับพรวนดินปลูกต้นไม้ แล้วขุดหลุมฝังร่างอันไร้วิญญาณให้กับนกโชคร้ายเหล่านั้น
ความเศร้าเมื่อมองเห็นร่างของสุนัขผอมโซที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบอยู่ข้างถนนอันร้อนระอุ
ความเศร้าของฝันร้ายในยามดึก..
ความเศร้าที่มาพร้อมๆ กับความกลัว..กลัวในความมืดมิดของราตรีกาล
ความเศร้าในการเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่าความรัก และการจากไปอย่างเงียบเชียบของมัน
ในที่สุดฉันก็ค้นพบความเศร้าของตนเอง
คงเป็นเพราะอย่างนี้ รอยยิ้มของฉันจึงไม่สามารถที่จะบดบังความเศร้าได้..
ฉันคิดพลางและหลั่งน้ำตาร่ำไห้ ต่อหน้าหญิงสาวดินปั้นที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเอง
ร่ำไห้ราวกับเป็นการฉลองที่ฉันได้ค้นพบความเศร้าเหล่านั้น
แต่..โอ้ อนิจจา ฉันกลับพบว่าฉันมีความสุขในขณะที่ฉันร้องไห้
ภาพถ่ายโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.