คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เย็นวันก่อน..ขณะที่ฉันกำลังเดินๆ อยู่ที่ตลาดนัด มีชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเสียงร้องทักมาว่า “สวัสดีครับพี่”
เมื่อหันไปตามเสียง ก็เจอชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวขำเข้มกำลังยกมือพนมสวัสดีกับฉัน
เมื่อทักทายกันฉันเห็นเขาอุ้มลูกชายคนเล็กล่าสุด เพิ่งอายุเห็นจะราวเกือบๆ ปี ไว้กับอก พอพ่อหยุดทักทายกับฉัน ลูกอีกสามคนและเมียของเขาก็หยุดด้วย ฉันจับมือหญิงสาวผู้เป็นเมียของเขาแล้วทักว่า
“ออกลูกแล้วสวยขึ้นนะ หน้าตาผุดผ่องมีน้ำมีนวลขึ้น ตางามมีประกาย”
“นี่ลูกคนเล็กหรือนี่….เจอกันครั้งก่อนยังอยู่ในท้องอยู่เลย…”
พูดพลางฉันก็มองไปที่เด็กชายตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมอกของพ่อ
เวลานั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน เมื่อปีที่แล้วฉันได้รู้จักกับผู้ชายร่างเล็กคนนี้ เนื่องจากไปเที่ยวเสาะหาช่างให้มาทำป้ายบ้านเขียวของสำลี..
ถามหาจากคนโน้นคนนี้ และได้รับการบอกกล่าวจนมาเจอบ้านของช่างผู้นี้ที่หน้าวัด
บ้านช่องห้องเช่าห้องเดียวของเขานั้น ทั้งอยู่ทั้งกินทั้งทำงาน รกอีเหละเขละขละไปหมดทั่วบริเวณ ลูกเต้าเล็กๆ สามคนกำลังซุกซน รื้อข้าวของพะรุงพะรังกระจุยกระจาย อีกเมียก็กำลังอุ้ยอ้ายท้องแก่
ทว่าชายร่างเล็กผู้มีแววตาอันแจ่มใสและท่าทีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนผู้นี้ ทำให้ฉันมองข้ามในสิ่งที่มองว่าไม่สวยไม่งาม ไม่ได้ตามความคาดหมายของร้านรวงที่คิดว่าจะเข้าไปติดต่อธุระการงานด้วยอย่างที่เคยจนหมดสิ้น กลายเป็นสนใจอยู่แต่เฉพาะสิ่งอันเป็นธุระที่ฉันกำลังจะให้เขาช่วยทำการงานให้เพียงเท่านั้น
พูดคุยในสิ่งที่ต้องการเสร็จสรรพฉันถามราคาค่างวดแล้วจ่ายเงินไป จนหมดเรียกว่า ไม่ต้องมัดจำ แต่ให้ไปก่อนทั้งหมดเลย ราคาค่างานทั้งหมดนั้นเป็นเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาทแต่เขาก็บอกด้วยความนอบน้อมเกรงใจ
เวลาผ่านไปเขาทำงานให้อย่างเรียบร้อยตามที่ต้องการและงานนั้นก็เสร็จลุล่วงไปเกือบปีแล้ว…หลังๆ นี้เวลาผ่านร้านของเขา ก็เห็นรับงานเยอะขึ้น จนวางล้นออกมานอกร้าน
เดินคล้อยหลังกันไปได้ยินเขาถามลูกๆ คนนั้นคนนี้ของเขาว่า “หนูเอาอะไรลูก…หนูเอาอะไรลูก”
จนเมื่อจวนเจียนกำลังจะเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน หูก็ได้ยินว่า “กลับแล้วหรือครับพี่ สวัสดีครับ” พร้อมกับยกมือไหว้ฉัน
“อ้าว…นั่นเปลี่ยนรถคันใหม่แล้วหรือ…?” ฉันร้องถามด้วยน้ำเสียงยินดี
“ครับ แต่ก็ยังเป็นมือสองอยู่นะครับ”
“โอยแต่ก็สวยขึ้นมากเลยค่ะคันนี้ เทียบกับคันเก่าแล้วคันนี้ดูดีกว่าและใหม่กว่ามากๆ เลย เก่งนะทำงานคนเดียว แต่รุดหน้าเร็วมาก”
ฉันพูดพลางมองไปที่รถยนตร์มือสองคันใหม่ของเขา ที่ติดป้ายโฆษณากิจการงานต่างๆ ของเขาเอาไว้เสร็จสรรพที่กระจกหลังรถ
“ครับ ผมรับงานทำป้าย งานปั้นปูนแต่งสวน..และตอนนี้มีงานใหม่ไปทำข่าวท้องถิ่นด้วยครับ” เขายืนเล่าเรื่องงานข่าวท้องถิ่นให้ฉันฟัง..
แล้วได้เงินอย่างไรล่ะ..ฉันถาม
“อ๋อ..งานข่าวนี้ไม่ได้เงินเป็นเรื่องเป็นราวหรอกครับ ได้แต่ว่าได้ทำเป็นงานน่ะครับ กล้องผมก็ยังใช้กล้องเก่าๆ นี่เลยครับ แต่ว่าถ้าข่าวไหน เขาเลือกเอาไปลง ข่าวนั้นผมก็จะได้ข่าวละสี่พันครับ”
ฉันฟังไปยิ้มไป เห็นลูกเมียของเขานั่งรอกันอยู่ในรถ จึงบอกว่าดีแล้ว ทำไปเถอะ ถึงไม่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็จะได้ฝึกฝนเรียนรู้ และได้รู้จักคนมากขึ้นด้วยนะ อีกหน่อยสิ่งเหล่านี้ก็จะกลับมาเกื้อหนุนงานหลักของเราไปเองแหละ ขยันจังเลยนะ และกิจการก็ดีขึ้นมากๆ ต่อไปจะยิ่งดีขึ้น ดีขึ้นนะ ฉันกล่าวให้กำลังใจ…เขาน้อมรับและยกมือสวัสดี ลาจากกันไปด้วยความนอบน้อม
ในขณะเวลานั้น ฉันรู้สึกว่า เออหนอ!! นี่วันๆ ฉันไม่ต้องคุยกับใครๆ ต่อใครที่เก่งกาจอะไรมากนักหรอก เพียงได้คุยกับคนธรรมดาๆ ที่มีพลังชีวิต มีความรัก มีความใส่ใจต่อชีวิตและครอบครัวของตนเองที่กำลังสร้างอย่างดีที่สุด …คนที่ยืนอยู่ในที่ที่ไม่สวยไม่งามและไม่สูงส่ง แต่สายตาเขามองไกลและเปี่ยมไปด้วยพลังจิตพลังใจที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวเช่นนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกถึงคุณค่าของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งฉันจะขอเรียกมันว่า
การมีความรักในหัวใจของเขา…การได้พูดคุยและพบเห็นคนเช่นนี้ทำให้หัวใจเต็มอิ่มไปได้ชั่วขณะ ฉันตระหนักขึ้นมาในหัวใจอย่างฉับพลันทันทีจริงๆ ว่า
“วันๆ ฉันไม่ต้องคุยกับใครๆ มากมายเลยก็ได้ แค่ได้คุยกับคนเล็กๆ เช่นนี้คนเดียว ก็รู้สึกเพียงพอแล้ว”
ในช่วงที่ฉันยังไม่ได้ทำงาน การเก็บเกี่ยวพลังชีวิตด้านบวกนั้น นับเป็นการงานที่สำคัญอย่างหนึ่ง
และฉันยอมรับกับตัวเองว่า คนอย่างฉันนั้นต้องมีความรักอยู่ในหัวใจ เพื่อที่จะใช้เป็นแรงผลักดันในการทำงานเสมอ ในเวลาที่หัวใจปราศจากความรักนั้น มันช่างแห้งแล้งราวกับผืนดินแห้งๆ ที่แม้ว่าจะปลูกพืชพรรณใดๆ ก็ไม่ค่อยจะขึ้นและงอกงามเอาเสียจริงๆ
หลายต่อหลายวันผ่านมาแล้ว นับแต่ฉันไปรับรู้เรื่องราวข่าวสารอันโหดร้ายข่าวนั้น…
ฉันยังไม่อาจทำใจให้ฝันหรือเพลิดเพลินในจินตนาการที่จะพึงมีต่อสรีระอันสวยงามของหญิงสาวได้เหมือนเดิมเลย
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.