คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
มันเป็นเวลาสายๆ ระหว่างวัน ซึ่งฉันกำลังคิดว่าฉันควรจะเขียนอะไรลงไปในเรื่องเล่าคราวนี้ดี
ก็ในขณะที่เมื่อวานตอนที่นั่งทำปั้นงานอยู่นั้น ฉันตั้งใจว่า จะเขียนถึงเรื่องความมุ่งมั่น เพราะในระหว่างเวลางานนั้น ฉันเกิดความรู้สึกหวั่นไหว
ไม่มั่นใจเกิดขึ้นมาในบางระยะ เพราะงานชิ้นล่าสุดที่ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ออกมาสวย เพื่อจะเตรียมเอาไปเข้าโรงหล่อ ให้ทันออกงานในปลายปีนั้น กลับไม่สวยดังใจไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะศรีษะของเธอนั้นโตเกินไปและท่านั่งก็ดูกระบิดกระบวนเกินไปดูไม่ดีพอที่จะเป็นงานหล่อได้
แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่ฉันก็พยายามปลุกปล้ำกับงานชิ้นนั้น โดยค่อยๆ เกลาพื้นที่ในส่วนศรีษะที่โตเกินกว่าตัวนั้นออกจนดูเล็กลง และพยายามทำให้เธอมีใบหน้าที่ยิ้มหวานให้เกิดขึ้นจนได้ ฉันนั่งขูดนั่งเกลางานไปพร้อมกับยกมันมานั่งทำอยู่ที่นอกชาน เพื่อให้ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่จะเป็นแสงที่ดีที่สุดในการใช้ทำงาน
นี่ถ้าฉันไม่ใส่ความคาดหวังว่าจะนำงานชิ้นนี้ไปหล่อเพื่อให้ทันเวลาก่อนช่วงปีใหม่ขึ้นมาละก็ ฉันก็คงไม่หวั่นไหวในตัวเองขนาดนี้
คิดแล้ว ฉันก็บอกกับตัวเองว่า ในบางเวลาของชีวิตและการทำงาน ความหวั่นไหวครั่นคร้าม หรือความไม่มั่นใจนั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้
แต่ว่าเราจะท้อถอยไม่ได้ ถึงแม้มันจะไม่เป็นไปตามความคาดหวัง แต่ก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด และทำมันให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์
ซึ่งในที่สุดฉันก็คิดได้ว่า แม้จะไม่ได้งานชื้นใหม่ทันเอาไปหล่อ แต่ฉันก็ได้งานหญิงสาวดินเผาชิ้นใหม่ที่มียื้มอันอ่อนละมัย เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชิ้นภายในตู้ของรักที่บ้านฉัน….
ในขณะที่ฉันเองยังลังเลใจว่า ฉันจะเขียนเรื่องราวนี้โดยเริ่มต้นและลงเอยอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์และกำลังใจต่อคนอ่าน จู่ๆ….ฉันก็ระลึกถึงท่านอาจารย์ขึ้นมา ในขณะที่ฉันกำลังก้มลงใช้น้ำรดลงบนศรีษะเพื่อทำการสระผม ฉันก็ระลึกถึงท่าน….
ราวสิบหกสิบเจ็ดปีผ่านมาแล้ว ที่ฉันได้พบและกลายเป็นลูกศิษย์ของท่าน ในวันแรกที่ได้พบเห็นท่านนั้น เป็นเวลานานมากแล้ว พี่สาวท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมและเป็นคนหนึ่งผู้เกื้อหนุนซื้องานของนายดี ได้ชักชวนให้ไปฟังพระเทศน์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในละแวกใจกลางเมืองคือสุขุมวิท ฉันจึงไปตามคำเชิญชวน
ฉันไปตามคำเชิญชวนด้วยความเคารพและเกรงใจต่อพี่ท่านนั้น เมื่อไปถึง ก็นั่งฟังพระเทศน์ร่วมกับแขกเหรื่อพุทธบริษัทอีกมากมายหลายหลาก
ณ ที่แห่งนั้น ฉันได้พบพระฝรั่งรูปหนึ่งซึ่งนั่งพับเพียบด้วยกิริยาอันสงบงาม ท่านเทศน์สอนเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเมตตา จากวันนั้นฉันก็ไม่ได้พบเจอท่านอีก คงมีแต่เทปและหนังสือธรรมะของท่านกลับติดตัวไป และได้เปิดฟังอยู่เสมอๆ
ต่อมาไม่นานพี่ผู้เคยชักชวนไปฟังธรรมคราวนั้น ก็ได้มาชักชวนให้ไปเข้าปฏิบัติธรรมด้วยกันกับพวกเขา อันเป็นสิ่งที่พวกเขาจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีที่เชียงใหม่ ฉันจึงได้มีโอกาสเข้าร่วมปฏิบัติธรรม และกลายเป็นลูกศิษย์ของท่านนับแต่บัดนั้น
ในวันหนึ่งที่ท่านนั้นก็ได้ติดต่อมายังนายดี ว่าให้ช่วยปั้นพระธรรมจักรให้หน่อย จะนำไปถวายท่านอาจารย์ ขณะนั้นนายดีได้ตอบปฏิเสธไป เด้วยเพราะเขารู้ว่า ธรรมชาติของดินเหนียวเมื่อถูกปั้นเป็นรูปทรงที่แบนบางและมีขนาดใหญ่นั้น จะต้องผลิ-แตกออกจากกันเมื่อเวลาดินแห้งอย่างแน่นอน ฉันได้รับรู้เรื่องราวนี้ และรีบบอกกับดีว่า ฉันอยากลองปั้นพระธรรมจักรนี้ดูเหลือเกิน แม้มันจะต้องแตกก็ไม่เป็นไร ช่วยบอกกับพี่ๆ เขาว่าให้รอดูฉันปั้นดูก่อนได้ไหม ฉันร้องขอเช่นนั้นเพราะฉันอยากปั้นถวายท่านอาจารย์จริงๆ โดยขณะนั้นฉันยังไม่มีความรู้เรื่องของดินมากมายนัก
ฉันคิดเพียงแต่ว่าฉันจะลองพยายาม แล้วเกิดผลเช่นไรค่อยว่ากัน ความคิดเช่นนั้นของฉันมันเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้แท้ๆ…..
ในที่สุดฉันก็ได้รับคำอนุญาตให้ปั้นพระธรรมจักร สำหรับท่านอาจารย์ โดยฉันบอกว่า จะพยายามทำและเมื่อทำแล้วไม่ดีไม่เหมาะสมไม่น่าใช้ก็ไม่เป็นไร ไม่เอาก็ได้ แค่ขอให้ได้ทำไปให้ท่านเลือกดูก่อน แล้วก็ศึกษาหาความรู้เรื่องพระธรรมจักร ไปที่ไหนเห็นธรรมจักรก็มองๆ ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่และเป็นหินทราย บ้างก็เป็นงานหล่อ
ฉันศึกษาหาความรู้เรื่องราวที่มาของพระธรรมจักรว่าคืออะไร ความหมายที่อยู่ในรูปทรงวงกลมนั้นคืออะไร เมื่อได้ความรู้อยู่ในหัวแล้วฉันก็ลงมือปั้นโดยลดทอนรายละเอียดที่อ่านมาออก คงเหลือไว้แต่ลักษณะอันเป็นแก่นของความหมายที่ควรจะมี พระธรรมจักรรูปวงกลมคล้ายล้อเกวียนวงใหญ่ถูกปั้นขึ้นที่กลางห้องที่อยู่อาศัยแคบๆ ของฉัน ด้วยสองมือและด้วยใจ
จนกระทั่งเสร็จสิ้นลง ในขณะที่รอให้งานแห้งเพื่อนำไปเผานั้น ฉันก็ค่อยๆ เห็นปรากฏการณ์แตก-แยกของชิ้นงานเกิดขึ้นทีละจุด ทีละจุด เป็นอย่างที่นายดีว่าไว้ไม่มีผิด ฉันพยายามอุดดินอัดเข้าไปใหม่ตามรอยแตกเหล่านั้น แต่เมื่อมันเริ่มแห้ง ดินก็จะหดตัวและดึงกันเองจนขาดแยกอีก
ฉันจึงปล่อยให้มันแห้งไปเอง และขาดแตกไปตามธรรมชาติอย่างนั้นจนแห้งสนิทและนำเข้าเตาเผา เมื่อเผาเสร็จแล้วก็นำมาวางเรียงๆ กันแล้วค่อยๆ ใช้กาวซ่อมปะติดให้ต่อกัน ในที่สุดพระธรรมจักรฝีมือของฉันก็สำเร็จเสร็จลง เรายกไปให้พี่ซึ่งเป็นโยมอุปัฐากท่านดูที่บ้าน
พี่ผู้นั้นจะเป็นผู้นำไปให้ท่านอาจารย์พิจารณาเองว่าจะสามารถนำไปใช้งานได้หรือไม่อย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่าน
และเพียงหลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้รับข่าวที่ทำให้ดีใจเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านอาจารย์ได้เลือกเอาพระธรรมจักรอันมีรอยแตกซ่อมของฉันอันนั้น
ไปติดไว้ที่บนกุฏิของท่าน ความชุ่มเย็นบังเกิดแก่จิตใจของคนเล็กๆ เช่นฉันเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อวันเวลาผ่านไป ในขณะที่เรา (ฉันกับนายดี) มีเหตุจะต้องเดินทางไปในจังหวัดทางภาคอีสาน และเราจะต้องผ่านจังหวัดซึ่งเป็นที่พำนักของท่าน ฉันเอ่ยกับนายดีว่า เราน่าจะแวะเข้าไปกราบท่านอาจารย์กันนะ ตั้งแต่ธรรมจักรไปติดตั้งก็นานแล้ว ฉันยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูเลย นายดีจึงพาฉันแวะเข้าไปยังกุฏิที่พักของท่าน เมื่อเราไปยืนอยู่ที่หน้ากุฏิ ก็ได้พบเห็นพระธรรมจักรดินเผาอันนั้นถูกติดตั้งอย่างมั่นคงแข็งแรงไว้กับข้างฝาไม้ด้านหน้า ด้านล่างของพระธรรมจักรนั้นเป็นโต๊ะบูชาพระเล็กๆ ที่มีพระพุทธรูปและแจกันดอกไม้บูชาพระ สิ่งที่เห็นข้างหน้านั้น ถูกจัดวางอย่างแสนเรียบง่าย
ท่านอาจารย์เดินออกมาจากกุฏิ ในมือของท่านถือกาน้ำชาพร้อมกับแก้วออกมาด้วย เราทั้งสองก้มกราบ ท่านวางกาน้ำนั้นไว้ข้างหน้าเราแล้วกล่าวบอกให้ดื่มน้ำชาเสียก่อน ฉันปลาบปลื้มใจอย่างไม่คิดนึกว่าท่านจะมีเมตตายกน้ำมาให้แก่เราเช่นนี้ ฉันดื่มน้ำชาร้อนในถ้วยนั้นด้วยความรู้สึกราวกับว่าได้ดื่มน้ำมนต์อันแสนศักดิ์สิทธิ์ แล้วในขณะนั้นเอง ท่านก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “องุ่น อยากมาดูไม่ใช่หรือ? นี่ไงพระธรรมจักร ติดตั้งอย่างนี้พอใจมั้ย อาตมากราบทุกวัน” ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความเมตตา
โอ…ฉันคิด ท่านเอ่ยขึ้นมาราวกับว่าได้ยินเหตุการณ์ที่ฉันพูดบอกกับนายดีในระหว่างขับรถ เราจะต้องรีบไปยโสธรและดีไม่คิดว่าจะแวะเข้ามา ด้วยหนทางที่ยังต้องไปอีกไกลและไม่รู้สถานที่ที่เป็นจุดหมายแน่ชัด… “ไหนๆ เราก็ผ่านมาถึงโคราชแล้ว ช่วยแวะพาพาฉันเข้าไปหน่อยเถอะ ฉันอยากไปดูเหลือเกินว่าเขาติดตั้งพระธรรมจักรนั้นอย่างไร”
เมื่อดื่มน้ำชาและได้เห็นพระธรรมจักรเรียบร้อยแล้ว เราจึงก้มกราบลาท่าน แล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อไป…เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ทีไร ฉันปลาบปลื้มและปิติใจทุกครั้ง
และความเมตตาและความเป็นผู้รู้ของท่านในหลายๆ ครั้งทำให้ฉันซาบซึ้งกึ่งประหลาดใจ ในกาลเวลาต่อมาในวันหนึ่งซึ่งเราไปเข้าร่วมปฏิบัติธรรม มันเป็นเวลาราวตีสี่ ที่ศาลาปฏิบัตินั้นมืดสลัวมีแสงไฟส่องเรืองรองอยู่ที่องค์พระพุทธรูปบูชาด้านหน้าเท่านั้น พวกเราผู้ปฏิบัติธรรมนับร้อยตื่นขึ้นมาและไปนั่งสมาธิภาวนากันอยู่ในศาลาอย่างเงียบกริบ ราวกับว่าต่างคนต่างนั่งอยู่เพียงลำพัง
ขณะนั้นฉันเกิดอาการจิตตก ไปคิดถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและเศร้าสร้อยกำลังร้องไห้อยู่เงียบๆ ระหว่างการนั่งทำสมาธินั้น ไม่มีใครรู้เห็นเพราะมันมืดไปสลัวและทุกคนต่างก็กำลังทำสมาธิภาวนาของตัวเองเช่นเดียวกัน พลันก็มีเสียงของท่านอาจารย์ที่นั่งสมาธิเป็นประธานอยู่ด้านหน้าสุดเอ่ยสอนขึ้นมาในความเงียบมืดนั้น ถ้อยคำอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของท่านที่กล่าวขึ้นมานั้นมันช่างตรงกับสิ่งที่ฉันกำลังเป็นอยู่และสะอื้นไห้ในความมืดนั้นเหลือเกิน….
แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ที่จะไปพบท่านบ่อยนัก มีเพียงปีละหนึ่งหนของการไปปฏิบัติธรรมเท่านั้น
และพูดก็พูดเถอะว่า หลายครั้งหลายหนที่ฉันออกเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรมในแทบทุกปีนั้น มิได้เต็มไปด้วยความสะดวกสบายเท่าไรเลย
ตั้งแต่ออกจากบ้าน….ในปีที่ฉันยังขับรถไปอยู่ ฉันขับรถไปเพียงคนเดียวและได้เกิดหลงทาง ทางไปเชียงใหม่นั้นก็เคยไปขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ่อยๆ แต่เมื่อถึงคราวต้องขับคนเดียวฉันกลับหลงทางอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่นปีนั้น
ฉันขับรถคู่ยากคันเก่าๆ หลงขึ้นไปบนเส้นทางภูเขาช่วงรอยต่อระหว่างลำพูนกับเชียงใหม่ ก็ฉันขับไปตามป้ายที่เขียนว่า ไปเชียงใหม่แท้ๆ นี่นา ฉันอดทนขับต่อไปเรื่อยๆ เพราะจะย้อนยูเทอร์นกลับก็ทำได้ยากเพราะถนนเล็กไม่เอื้ออำนวย อีกฝั่งหนึ่งติดเขาและอีกฝั่งหนึ่งเป็นเหวลึกลงไป มีแต่ป่าและเขา เพื่อนร่วมทางมีเพียงรถบรรทุกที่วิ่งสวนกันมาเป็นระยะๆ เท่านั้น
เมื่อรู้ว่าขับผิดเส้นทางและอะไรๆ ก็ไม่ร้ายเท่ากับน้ำมันที่กำลังจะหมด ฉันมองเข็มชี้วัดน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำสุด ฉันปิดแอร์และลดกระจกลง สู้ทำใจขับต่อไปและภาวนาว่าขอให้ได้พบหมู่บ้าน ขอให้ได้พบที่เติมน้ำมัน ขอให้ฉันพ้นไปจากภูเขาลูกนี้โดยเร็ว
จินตนาการด้านร้าย แล่นเข้ามาในหัวฉันเป็นฉากๆ ก็บนถนนไม่มีรถอื่นๆ เลย มีแต่ฉันกับรถบรรทุก ฉันกลัวเหลือเกิน…
ฉันขับต่อไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยความหวาดวิตกไปสารพัด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็พยายามทำใจให้นิ่งเพื่อข่มความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นไปด้วย จนในที่สุดฉันก็พบทางลงเขาและพบหมู่บ้าน ฉันรีบถามหนทางจากชาวบ้านจึงได้รู้ว่าทางเส้นนี้เป็นทางที่จะออกไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ และฉันขับรถหลงเลยมาห้าสิบกิโล ฉันรีบหาที่เติมน้ำมันและไปต่อจนถึงที่หมายคือสถานที่ปฏิบัติธรรมในเชียงใหม่
หลังจากปีนั้น คือในหลายๆ ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เมื่อถึงเวลาต้องไปปฏิบัติธรรมฉันก็จะไปโดยรถทัวร์โดยสาร โดยขึ้นรถทัวร์ชั้นสองที่แวะผ่านเข้ามารับคนที่ตัวจังหวัดที่ฉันอยู่ ไม่ว่าจะมีที่นั่งหรือไม่มี ฉันก็ต้องขึ้นไปก่อน บางคราวต้องยืนไปถึงนครสวรรค์ แล้วจึงได้นั่ง บางคราวก็นั่งไปบนขั้นบันได บางคราวก็ต้องนั่งอยู่บนกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง เนื่องจากรถทัวร์ชั้นสองจอดรับส่งคนในแทบทุกจังหวัดนั่นเอง
ในระหว่างที่ต้องเดินทางและเผชิญเหตุการณ์หลายอย่างที่กล่าวมานี้ จิตใจของฉันก็ไม่ได้ทุกข์หรือหดหู่ไปเพราะความลำบากนั้น
ฉันพบความรู้อันเป็นความรู้ที่สำคัญว่า
เวลาที่เราตกที่นั่งลำบาก มันจะมีแรงกำลังใจชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของตัวเองอยู่เสมอๆ
มันคือความคิดในแง่บวกที่ผุดขึ้นมาปลอบโยนตัวเองที่กำลังตกอยู่ในสภาวะนั้นๆ ให้มีกำลังใจและผ่านเวลาเหล่านั้นไปจนได้
ฉันย้อนคิดไปในเหตุการณ์ล่าสุดคือเมื่อหลายปีที่ผ่านมาที่ฉันได้ประสบทุกข์หนักของชีวิตอีกคราหนึ่ง และในขณะนั้นฉันได้ไปปฏิบัติธรรม
พี่ท่านเดิมผู้มีอุปการะคุณแก่ฉันได้จับมือฉันและพาไปเข้าพบท่านอาจารย์
ฉันในขณะนั้นได้เข้าไปกราบท่าน ท่านเอ่ยถามสั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร…ฉันกล่าวตอบด้วยถ้อยคำกระทัดรัดและไม่เยิ่นเย้อ
แม้จะมีเรื่องทุกข์ใจเสียใจก็เป็นเรื่องเป็นทุกข์ตามประสาของชาวปุถุชนเยี่ยงฉัน แต่ฉันก็รู้สึกเกรงใจที่จะนำออกบอกกล่าวกับพระผู้ปฏิบัติหลีกทางจากครัวเรือนแล้วเป็นยิ่งนัก
ในวันนั้นท่านได้เอ่ยถ้อยคำอันเป็นกำลังใจแก่ฉันมาสองสามข้อ
แม้จะผ่านมาเกือบราวสิบปีแล้ว ถ้อยคำเหล่านั้นของท่านยังคงเป็นถ้อยคำที่ฉันนึกถึงครั้งใดแล้วก็ก่อให้เกิดกำลังใจอยู่เสมอ
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.