Art Eye View

อยากปั้น “ในหลวง” ให้คนตาบอดได้สัมผัส “อัษฎายุธ อยู่เย็น” ประติมากร วัย 28 ปี

Pinterest LinkedIn Tumblr


ART EYE VIEW—เป็นเวลา 5 ปี แล้วที่ อ๊อบ – อัษฎาวุธ อยู่เย็น ศิษย์เก่าสาขาประติมากรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ารับราชการในตำแหน่งประติมากร ของ สำนักช่างสิบหมู่ และกลุ่มงานประติมากรรม กรมศิลปากร

อ๊อบวัย 28 ปี ผู้น่าจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาประติมากรของกรมศิลปากรด้วยกัน บอกเหตุผลที่เลือกทำงานทางด้านนี้ว่า

“เพราะเป็นงานที่มีเกียรติ ได้ทำงานให้ประเทศชาติ ได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ฝากไว้ให้แผ่นดิน และต่อไปผลงานของเรา อย่างเช่นงานปั้นอนุสาวรีย์ คนปั้นเสียชีวิตไปแล้ว 3 ชาติ แต่งานปั้นยังอยู่

เหมือนเช่นผลงานของอาจารย์ศิลป์ (ศ.ศิลป์ พีระศรี) ทุกวันนี้คนยังคงได้เห็นผลงานท่าน ทั้งที่คนทำเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว”


นอกจากทำงานที่ได้รับมอบหมาย อ๊อบยังใช้เวลาส่วนหนึ่งในช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกงานของทุกวันไปกับการทำงานศิลปะส่วนตัว โดยเฉพาะการใช้ดินน้ำมัน ปั้นรูปปั้น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จากที่ก่อนหน้านี้ ทั้งในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา และหลังจากที่เรียนจบมาระยะหนึ่ง ผลงานศิลปะของเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเศษไม้และเศษเหล็ก สร้างสรรค์เป็นงานประติมากรรมในแนวร่วมสมัย

แต่หลังจากที่ค่ำคืนหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแรกๆที่เขาเดินทางมาอยู่กรุงเทพฯ ได้หลับและฝันไปว่า… “ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์ พร้อมกับยื่นนมให้ดื่ม”

นับแต่นั้นมา อ๊อบจึงค่อยๆหันหลังให้กับเศษไม้และเศษเหล็ก แล้วเปลี่ยนมาหยิบดินน้ำมันปั้นแต่รูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“มีความรู้สึกอยากจะปั้นแต่ในหลวง เพราะยิ่งปั้นยิ่งมีความสุข และยิ่งได้สัมผัสแต่สิ่งดีงามในขณะที่ปั้น ทั้งในเรื่องคุณงามความดีที่ในหลวงทรงทำให้ประชาชนของพระองค์ และพระบุคลิกลักษณะของมหาบุรุษ

ถ้าเราสังเกต เวลาดูพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง พระองค์ท่านจะไม่ค่อยแย้มพระสรวล แต่การเคลื่อนไหวของโหนกพระปรางค์ บริเวณใต้พระเนตร และพระเนตร ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่า ทรงเป็นผู้ที่มีความเมตตาสูง

และลักษณะการเม้มของพระโอษฐ์ ทำให้รู้สึกว่า เป็นผู้ที่หนักแน่น เอาจริงเอาจัง”


ในฐานะที่เคยเห็นงานประติมากรรมมาแล้วมากมาย อ๊อบเชื่อว่าในอนาคตหรืออีกราว 20 ปี ข้างหน้า อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ซึ่งผู้คนจะสามารถพบเห็นได้มากที่สุดในประเทศไทย คืออนุสาวรีย์ของ รัชกาลที่ 9 ขณะที่ในปัจจุบัน อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดยังเป็น รัชกาลที่ 5

“ดังนั้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ตัวผมเองก็จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่านี้ จึงฝันไว้ว่า อยากเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ในประเทศไทย”

ข้าราชการหนุ่มผู้ปรารถนาทำงานให้กับกรมศิลปากรไปจนกระทั่งเกษียณอายุราชการบอกถึงปณิธานอันแน่วแน่

ปัจจุบัน รูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อ๊อบปั้นสะสมไว้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวบอกเล่าว่า เวลาที่มีเงินกจะนำบางชิ้นไปหล่อบรอนซ์เก็บไว้เพื่อรอโอกาสแสดง

ที่ผ่านมา ใน “วันพ่อ” 5 ธันวาคม ของทุกปี เขาจะนำผลงานบางชิ้นที่ปั้นขึ้นระหว่างปีออกมาจัดแสดงร่วมกับบรรดาศิลปินและเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆของกรมศิลปากร

ในงาน วันพ่อ ณ ท้องสนามหลวง ปีล่าสุดก็เช่นเดียวกัน นอกจากรูปปั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงสะพายกล้องและถือแผนที่ ยังมีรูปปั้นในพระอิริยาบถอื่นๆ มาร่วมแสดงด้วย รวมถึงรูปปั้น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคุณทองแดง” ชิ้นที่อ๊อบบอกว่า ส่วนตัวชอบปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอิริยาบถแบบนี้มากที่สุด เพราะดูผ่อนคลาย

และนอกจากความภาคภูมิใจในปัจจุบัน ที่ได้เป็นหนึ่งในทีมประติมากรปั้นช้างเผือกภายในพระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา อ๊อบได้วางแผนเอาไว้ว่าจะนำรูปปั้นผลงานของตนเองทั้งหมด มาจัดแสดงเป็นนิทรรศการให้คนทั่วไปได้ชม

“ในนิทรรศการอยากให้มีรูปปั้นของพระองค์ท่าน นับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ กระทั่งปัจจุบัน และอยากจะนำพระบรมฉายาลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่ประทับใจ แต่ยังไม่มีประติมากรท่านไหนนำมาใช้เป็นแบบในการปั้น มาลองปั้นดู

น่าจะทำให้ผู้ชมที่รู้สึกดีมากอยู่แล้ว เวลาเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ รู้สึกดีมากขึ้นไปอีก เวลาได้ชมผ่านงานประเภท 3 มิติ”

มากไปกว่านั้นอ๊อบยังฝันจะปั้นรูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ “คนตาบอด” ได้สัมผัส

“เพราะคนตาบอดแม้จะมองไม่เห็น แต่เขามีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม นอกจากเคยรับรู้หรือซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านผ่านหู ผมอยากให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้มือสัมผัสรูปปั้นของพระองค์ท่านดูบ้าง”


ในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้ อ๊อบบอกว่าตนเองเป็นคนหนึ่งที่มีในหลวงเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แต่ในด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกน่าเสียดายที่คนไทยจำนวนมาก ยังไม่เลือกปฏิบัติตามแนวทางที่ในหลวงทรงคิดและวางเอาไว้ให้

“ทรงเห็นว่ารากฐานของประเทศเราควรจะมุ่งเน้นไปที่การเกษตร และทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมานาน ปัจจุบันทรงมีพระนามอยู่ในบัญชีรายชื่อเกษตกร จ.เพชรบุรี

ในต่างประเทศถ้าใครมีที่ดินอยู่ 20 ไร่ เพื่อทำการเกษตร คนๆนั้นเรียกได้ว่าโคตรรวย แต่เกษตรกรในบ้านเรามีอยู่ 20 ไร่ หรือมากกว่านั้นก็ยังโคตรจน เพราะไม่ยอมทำตามแนวทางของพระองค์ท่าน มีที่ดินเยอะก็จริง แต่นำไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ปลูกแบบผสมผสาน

พระองค์ท่านทรงคิดเอาไว้ให้หมดแล้ว ว่าประเทศไทยควรจะเป็นแบบไหน คนไทยควรจะทำอย่างไร ประเทศจึงจะสงบสุข ประชาชนถึงจะมีความสุข แต่พวกเรายังไม่ยอมทำตาม”



ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It