Art Eye View

เหมือนใบไม้ และฝุ่นผง ตามลมพัด : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในวันบางวันฉันก็อยากจะใช้ชีวิตไปแบบเรื่อยเปื่อย เหมือนกับใบไม้หรือเศษฝุ่นผงที่ลมจะพัดหอบไปทางไหนก็ไปมันตามลมนั้น


ในตอนสายของวันฉันอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวแล้วเอาย่ามสะพายไปให้ป้าช่างเย็บที่ข้างถนนในตัวเมืองช่วยใส่ซิป ป้าเย็บเสร็จไม่ยอมคิดสตางค์เพราะเที่ยวที่แล้วฉันซื้อก๋วยเตี๋ยวและผลไม้เอาไปฝาก ฉันทนอิดออดปัดป้องไม่รับเงินจากป้าไม่ไหว จึงเดินจากมาพร้อมกับเดินไปอีกครั้งกับถุงของกินแล้วเอาเงินอันเป็นค่าใส่ซิปใส่ลงไปในถุงของกินนั้นส่งให้กับป้า

จากในตัวเมืองฉันข้บรถผ่านถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเห็นผู้คนเยอะแยะเลยลงไปดู เจอเรือและนักประดาน้ำกำลังมานำต้นไม้ใหญ่ที่จมอยู่ก้นแม่น้ำขึ้นจากแม่น้ำ

ฉันจึงจอดรถแล้วลงไปยืนดู เขากำลังหาวิธีเอาต้นไม้อีกต้นหนึ่งขึ้นจากน้ำ มีต้นไม้สามต้นถูกเอาขึ้นมาก่อนแล้วเมื่อวานนี้ และชาวบ้านที่พากันมายืนดูต่างจับกลุ่มกันพูดคุย บ้างโรยแป้งแล้วเอามือลูบไล้หาเลข บ้างมายืนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ฉันยืนเหยียบอยู่บนก้อนหินริมชายน้ำอย่างงกๆ เงิ่นๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนดูอยู่ใกล้ๆ

เมื่อเหลือบไปเห็นพี่เขาเอามือป้องแดดฉันจึงยื่นร่มออกไปและบอกให้เข้ามายืนในร่มด้วยกัน ต่างคนต่างดูและก็รู้เรื่องราวเท่าๆ กัน คล้ายๆ กัน เพราะก็เพิ่งผ่านมาเห็นทั้งคู่ ยืนมายืนไปก็เลยคุยกัน จากเรื่องว่าไม้นี้น่าจะถูกตัดมาแบบไหนและเอาไปทำอะไร ทางพี่เขาคิดว่าน่าจะถูกตัดไปทำเรือ

ส่วนทางฉันก็คิดไปตามนิยายที่เคยอ่านว่า น่าจะถูกตัดไปทำเสาบ้านเสาเมืองที่ใดสักแห่ง..แล้วให้มีอันมาจมลงเสียก่อนที่ตรงนี้

คุยต่อไปอีกพี่เขาก็บอกว่าเขาสุขภาพไม่ดีเหนื่อยง่าย ฉันถามว่าเป็นอะไร เขาเลยบอกว่าเป็นโรคหัวใจ ทั้งหัวใจโตและเส้นเลือดหัวใจตีบ แต่ไปรักษามาแล้ว

ฉันถามรักษาอย่างไร เขาบอกเจาะตรงซอกพับขาหนีบแล้วใส่ขดลวดลงไปตามเส้นเลือดเพื่อถ่างเส้นเลือดที่ตีบ

ฉันฟังพี่เขาเล่าไปเรื่อยๆ ถึงอาการและความรู้สึกของเขาตอนไปนอนให้หมอรักษา และมีบางช่วงเขาได้ยินหมอบอกว่า “คนไข้ช๊อคๆ..ความดันต่ำๆ” พี่เขานอนฟังทุกอย่างรู้เรื่องหมด และรู้สึกร้อนและทรมานมาก จนเขาคิดว่าเขากำลังจะตาย

แล้วเขาก็เล่าต่อไปว่าแต่เมื่อกลับมาบ้านได้ไม่นานพี่สาวของเขาก็เส้นเลือดในสมองแตก และนอนเหมือนเด็กๆ แบเบาะช่วยตัวเองไม่ได้อยู่ตอนนี้

จากที่พี่เขาคิดว่าตัวเขาเองอาการแย่ลงตั้งแต่ไปใส่ขดลวดหัวใจมา เพราะเหนื่อยง่ายขึ้นกว่าเดิมและปวดร้าวไปทั่วทั้งบ่าทั้งไหล่บ่อยๆ แต่พอมาเจอพี่สาวตัวเองป่วยช่วยตัวเองไม่ได้เอาเสียเลยเข้าแล้ว ความเข้มแข็งของเขาก็กลับคืนมา และมีความคิดผุดขึ้นมากับตัวเองว่า เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแล้วใครจะดูแลพี่สาวเขา

ฉันได้ฟังพี่ผู้หญิงท่านนั้นคุย แล้วก็นึกประหลาดใจว่าเรื่องราวของเขาช่างตรงกับตัวเอง เพราะในขณะที่ฉันไปนอนรักษาโดยวิธีเดียวกันแต่ของฉันนั้นหมอเอาไฟฟ้าจี้ขัั้วไฟฟ้าตัดวงจรไฟฟ้าที่เกินมาในหัวใจออก…ไม่ได้ใส่ขดลวดลงไปแบบพี่เขา

ฉันเองก็รู้สึกร่างกายเหมือนถูกอะไรมาชนหรือกระแทกในบางช่วง แล้วก็ได้ยินเสียงหมอพูดกันว่า “คนไข้กระตุกๆ” ฉันจึงรู้ว่าไอ้ที่รู้สึกนั่นเป็นเพราะร่างกายของฉันกระตุก แล้วก็นึกเห็นภาพตัวเองที่นอนอยู่ในภาวะอันฉุกเฉินอันตรายแล้วร่างกายกระตุกนั้น มันช่างน่ากลัว และฉันคิดว่า ฉันอาจจะตาย ฉันคิดอย่างนั้นในขณะนั้นจริงๆ

แต่ฉันคิดแล้วฉันก็บอกกับตัวเองว่า “ตายก็ตาย” แล้วฉันก็ปล่อยความรู้สึกให้เป็นอิสระ ตาฉันหลับใจฉันปล่อยและจดจ่ออยู่กับการภาวนา แต่จิตใจฉันไม่ได้ว้าวุ่น

ยืนดูและคุยกันอยู่ครู่ใหญ่พี่เขาก็กลับไปก่อน ฉันนึกแปลกใจที่ได้เจอคนที่ได้ประสบภาวะเดียวกันที่แสนคล้ายคลึงกันทั้งสองเรื่องสองราวที่เขาเล่า มายืนเล่าต่อกันโดยบังเอิญเช่นนี้

ฉันเลยคิดว่า คนเรานั้นยามทุกข์ โดยธรรมชาติแท้ๆ ลึกๆ ของจิตใจแล้ว ก็จะมีวิธีการต่อสู้ที่คล้ายคลึงกันอย่างนี้กระมัง

ยืนต่ออยู่อีกครู่ใหญ่เมื่อเห็นเรือที่แล่นออกไปและนักประดาน้ำงมลงไปนานนับชั่วโมงแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าบวกกับแดดร้อนเปรี้ยงของตอนบ่าย ฉันจึงกลับบ้างเช่นกัน


ฉันมุ่งหน้าขับรถไปยังบ้านโพกรวม เพราะเป็นเส้นทางที่ติดต่อกันกับบริเวณแถวนี้ ฉันขับรถไปตามถนนเลียบแม่น้ำเรื่อยๆ หนทางเล็กและสูงชันและเป็นป่า ด้วยหน้าน้ำแถวนี้จะมีแต่น้ำปริ่มขึ้นมาหมด ทางจึงชันแสนน่ากลัวในหน้าแล้งเช่นนี้

ขับไปได้เพียงไม่ไกลก็พบกับถนนขาด ถนนขาดหายไปต่อหน้าต่อตาด้วยร่องรอยของแรงน้ำเซาะ ฉันต้องถอยหลังกลับอย่างระมัดระวัง แล้วจึงพบทางเลี่ยงเบี่ยงให้ไปทางอื่น โอ!! ฉันเกือบแย่แล้วมั้ยละ เรานี่ชอบพาตัวเองเข้าไปสู่ที่ที่ลำบากอยู่บ่อยครั้ง ฉันพูดกับตัวเอง ด้วยเส้นทางที่บังคับและไม่รู้จัก ฉันขับรถผ่านดงไม้ใหญ่เป็นทิวยาว

ฉันนึกถึงต้นตะเคียนที่เคยเห็นในรูป โอนี่ ดงตะเคียน ฉันพึมพัมในใจเมื่อขับผ่านดงไม้อันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามนั้น จนฉันมาผุดขึ้นที่หน้าปากทางของวัดวัดหนึ่ง แล้วจึงได้ออกสู่ถนนใหญ่

แบตเตอรี่โทรศัพท์ของก็ดันมาหมดในขณะนั้น ฉันจึงมองหาร้านอาหารที่จะเข้าไปนั่งแล้วขอชาร์ตแบตเตอรี่กับเขา

ฉันนั่งอยู่ในร้านอาหารนั่นครู่ใหญ่ สั่งอาหารมาทาน และขอเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอร์รี่กับทางร้าน

ขากลับฉันขับรถผ่านที่บ้านบางเลา…แดดสีทองของยามเย็นตัดกับต้นไม้สองข้างทาง ทาบเงาเป็นริ้วๆ ลงบนถนนช่างแสนงาม

ฉันฉุกคิดถึงการเป็นเมีย เป็นแม่ การเป็นผู้หญิงมือกร้านหนา มีอาชีพเป็นชาวนาชาวไร่ งามด้วยรอยยิ้มและแววตาอันจริงใจ ส่งให้ผัว

นั่นเป็นขีวิตบ้านๆ แบบในฝันของฉัน (แรงบันดาลใจเกิดขึ้นเข้าให้แล้ว)

ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว และ องุ่น




รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It