เซเลบออนไลน์พาไป XLarge Thailand Store ที่สยามเซ็นเตอร์ พูดคุยกับผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ความสามารถรอบด้าน โปรไฟล์ดี แถมดีกรีเป็นถึงหนุ่มนักเรียนนอก “ฉัตร-วิชนารถ สิริสิงห์” ทายาทเพียงคนเดียวของ “วิจักษ์ และ นัยนา สิริสิงห์” บิ๊กบอสแห่ง บางกอก สปอร์ตแวร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์สตรีทแฟชั่นชื่อดังอย่าง New Era, Kappa และล่าสุดคือแบรนด์ Xlarge
หลังเรียนจบปริญญาโทสาขา Managing Information System Technology จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน คุณวิชนารถก็ได้ทำงานด้าน Quality Assurance Engineer supporting Google ให้กับบริษัทใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งคุณพ่อวิจักษ์ได้สอบถามความคิดเห็นลูกชายถึงการนำเข้าแบรนด์ XLarge
“แบรนด์ XLarge นี้ ผมรู้จักมากนานแล้ว แต่ไม่คิดว่าวันนึงเค้าอยากจะมาทำตลาดที่ไทย พอพ่อโทรมาผมก็บอกว่าแบรนด์ดีนะ ที่ญี่ปุ่นเค้าใส่กันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไฮสกูล วัยมหาลัย หรือคนทำงาน เค้าก็ใส่กันทั่วประเทศจริงๆ ส่วนที่อเมริกาก็จะมีสองรัฐใหญ่อย่างนิวยอร์ก และลอสแอนเจลิส เป็นเมืองที่เด่นด้านแฟชั่นอยู่แล้ว ผมเลยบอกคุณพ่อว่าน่าสนใจให้คุณพ่อลองดู คุณพ่อเลยเสนอว่าถ้าจะทำ ผมต้องกลับมาไทยนะเพราะพ่อไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นให้ตัดสินใจกลับไทยเพื่อมาช่วยคุณพ่อทำงาน สานต่อธุรกิจด้านรีเทลและนำเข้าของครอบครัว แต่เมื่อเรียนจบและทำงานด้านเทคโนโลยี กลับต้องมาทำงานด้านแฟชั่นและการบริหารก็มีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวกันทั้งผู้บริหารและองค์กร
“ผมก็เสียดายที่ต้องทิ้งความฝันในการทำงานด้านเทคโนฯ แต่ก็มองว่าการกลับมา เป็นจุดเริ่มต้นของความฝันใหม่ของผมที่เมืองไทย โดยการเอาธุรกิจที่คุณพ่อคุณแม่สร้างมาให้แล้วมาต่อยอด รุ่นพ่อผมทำธุรกิจรีเทลแบรนด์ที่เกี่ยวกับกีฬามาประมาณ30 ปี จะทำงานแบบหัวโบราณนิดนึง ค่อนข้างต่างจากแบรนด์ที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
พอผมกลับมา ผมเริ่มเอาสิ่งที่เรียนรู้จากอเมริกามาปรับใช้กับธุรกิจในไทยบ้างแล้ว เอา System Management ของที่นู่นมาวางแผนระบบใหม่ที่บริษัท เพราะระบบของคุณพ่อค่อนข้างเก่า รวมถึงพนักงานก็รับเจนใหม่ๆ ผมจะให้ความสำคัญกับ Work Life Balance เพราะผมเชื่อว่าถ้าบรรยากาศในบริษัทและสภาพแวดล้อมในการทำงานดี ทำให้พนักงานเราแฮปปี้ ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์จะมากขึ้น และผมยังให้คุณค่ากับการแสดงความคิดเห็นของพนักงานทุกชั้น เพื่อประโยชน์ขององค์กร”
เมื่อคุณพ่อรุ่นเก๋าต้องทำงานกับลูกชายที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่
“คุณพ่อไกด์ไลน์บ้างแต่พอผมกลับมาคุณพ่อก็เปิดรับไอเดียใหม่ๆ มากขึ้นอย่างเช่น สมัยก่อนเค้าเคยทำสปอร์ตล้วน แต่พอเป็นแฟชั่นเค้าจะฟังผมมากขึ้น จะฟังไอเดียของมาเก็ตติ้งมากขึ้น ถ้าเป็นสมัยก่อนสินค้าไหนขายได้เค้าจะสั่งแต่ตัวนั้นเลย แต่ถ้าเป็นผม ผมมองว่าต้องเป็นสินค้าที่ขายได้เรื่อยๆ เป็นสินค้าที่ไม่มีวันตกรุ่น เป็นสินค้าที่ติดเทรนด์ตลาดก่อนนิดนึง
และวิธีการทำธุรกิจของผม ผมมองว่าเราเป็นตัวแทนจำหน่าย การที่เรานำสินค้าเข้ามาขายไม่ใช่ว่าจะปรับราคาให้มันไปไกลจนไม่สามารถซื้อหาได้ อยากทำแบรนด์ที่ทุกคนทุกวัยจับต้องได้ ตั้งแต่นักเรียนนักศึกษาทุกเพศทุกวัยเลย
ส่วนหลักคิดที่ยึดมั่นมาตลอดในการทำธุรกิจ คือห้ามหยุดเดินอยู่กับที่ วันนึงถ้าเราหยุดอยู่กับที่คนรอบๆ เค้าจะเดินผ่านเราไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเราต้องเดินหน้าตลอดเวลา”
เมื่อพูดถึงวงการแฟชั่นไทย และเป้าหมายที่จะพาสตรีทแบรนด์อย่าง XLarge เข้ามาตีตลาด
“วงการแฟชั่นไทยน่าจับตามองเพราะเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาเค้ากล้าแต่งตัว ถ้าท้าวความกลับไปสมัยผมอยู่ไฮสกูลผมก็ยังไม่ค่อยกล้าแต่งตัวเลย แต่ถ้าเป็นเด็กไทยสมัยใหม่ ในไทยเปิดกว้างมากขึ้นให้เด็กได้แสดงความคิดได้แสดงออกได้แสดงความเป็นตัวเองเต็มที่ ดังนั้นผมจึงมองว่าวงการแฟชั่นไทยตอนนี้น่าจับตามองมาก มีเสื้อผ้าหลายสไตล์มากไม่ว่าจะเป็นสตรีท ลักซ์ชัวรี่ มินิมอล มีอะไรให้เลือกจับจ่ายเป็นตัวของตัวเอง
ส่วนแบรนด์ XLarge ลูกค้าต่างชาติรู้จักอยู่แล้ว คนไทยจะรู้จักเฉพาะกลุ่ม พอเรามาทำตลาดเต็มตัวคิดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นวัยรุ่น 16 – 25 ปี แต่พอทำจริงเค้าใส่กันทุกวัย ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูเป็นผู้ชาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าลูกค้าผู้หญิงของเราเยอะพอสมควร เค้ามาซื้อพวกฮู้ดดี้ใส่ไปเรียนหรือใส่ตามอินฟลูเอนเซอร์ จนตอนนี้ลูกค้าไทยและต่างชาติคนละครึ่ง และปีนี้ตั้งเป้าจะขยายสาขาไปหัวเมืองใหญ่ๆ ก่อนอย่าง ภูเก็ต พัทยา”
คุณวิชนารถ บอกเล่าเรื่องสไตล์การแต่งตัวสมัยยังเป็นหนุ่มนักเรียนอเมริกัน พร้อมแนะนำไอเทมต่างๆ ของแบรนด์ XLarge
“สมัยอยู่อเมริกาแต่งตัวง่ายๆ ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นรองเท้ามีข้อหน่อย ถุงเท้ามีข้อ และก็สนีกเกอร์ธรรมดา แต่พอกลับมาแล้วก็เห็นว่า คนเอเชียแต่งตัวเก่งกว่าอเมริกา ตรงที่เค้าตั้งใจแต่งตัวเพื่อมาเจอเพื่อนๆ แต่ที่อเมริกาเค้าจะแต่งกันง่ายๆ อย่างวันนี้ชุดที่ผมแต่งก็ค่อนข้างเป็นทางการนิดนึง กางเกงคาร์โก้ เสื้อโอเวอร์ไซส์ แจ็คเก็ตตัวนึง แต่ด้วยความที่เมืองไทยมันร้อนก็เลยต้องใส่เสื้อยืด สังเกตดีๆ แบรนด์ XLarge เราก็จะมีเสื้อยืดเยอะมากๆ
เป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าแนวสตรีทอยู่แล้วอย่างแบรนด์สุพรีม สมัยอยู่อเมริกา XLarge ก็ใส่ตั้งแต่สมัยนักศึกษา พอได้กลับมาทำแบรนด์ก็ได้ใส่ทุกวันเลย ส่วนไอเทมกันตายใส่ได้ทุกวันยกให้เสื้อยืด XLarge Bangkok City OG ตัวนี้ที่มีขายเอ็กคลูซีพเฉพาะในไทยเท่านั้น
ส่วนสินค้าที่ทุกคนต้องมีคือ ไอเทมที่คอแลบกับ Looney Tunes ครบ100ปี ส่วนคอแลบที่น่าเก็บอีกชิ้นคือ Vandy The Pink ซึ่งขายหมดไปแล้วที่ญี่ปุ่น แต่คนยังตามหาเรื่อยๆ”
สุดท้ายคุณวิชนารถบอกว่าตัวเองเป็นคนที่รักความสมบูรณ์แบบ อะไรเล็กๆน้อยๆ พลาดไม่ได้เลย อยากทำทุกอย่างที่พ่อแม่สร้างมาให้เพอร์เฟค แล้วก็ต่อยอดหาแบรนด์อื่นเข้ามา จะเป็นแบรนด์แฟชั่นหรือแบรนด์ที่ถนัดมากกว่า แล้วก็ทำแบรนด์ที่มีอยู่ให้มันติดตลาดเป็นที่รู้จักของคนไทย อยากให้คนไทยได้ใส่อะไรดีๆ ในอนาคต ใส่อะไรที่คนทั่วโลกเค้าใส่กัน หรือเป็นเทรนด์ที่ติดตามกันทั่วโลก
Comments are closed.