คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หญิงสาวดินปั้นของฉัน ในช่วงแรกเริ่มนั้นล้วนเป็นหญิงสาวที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า พวกหล่อนล้วนเปลือยกาย และอยู่ในท่วงท่าแห่งสุนทรียะทางกามารมณ์เป็นส่วนใหญ่
งานปั้นบางชิ้น ฉันปั้นไปพร้อมกับคิดและรู้สึกไปในทางกามารมณ์ไปด้วย ขณะที่บางชิ้นฉันปั้นและคิดไปถึงอิริยาบทของหญิงสาวเพียงเท่านั้น
นับตั้งแต่เติบโตมา จากเด็กหญิงเข้าสู่ในวัยรุ่นเริ่มสาว สิ่งที่มักทำอยู่เป็นประจำของฉันนั้นคือ การชอบมองตัวเองในกระจก
ฉันเป็นคนช่างตระหนักถึงความอ้วนความผอมของร่างกายตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ย้อนนึกไปสมัยเรียนมัธยมต้น ฉันมักแอบคิดกังวลใจและเปรียบเทียบในรูปร่างของตนเองกับเพื่อนๆ เสมอ ทั้งๆ ที่ รูปร่างของฉันก็มิใช่ปรากฏเป็นคนอ้วนเลย ขณะเดียวกันฉันก็มีนิสัยช่างกิน รู้จักในการหาของอร่อย นับตั้งแต่ช่วงวัยนั้น
บ้านหลังแรกในกรุงเทพของพ่อแม่ฉัน เป็นบ้านไม้สองชั้นที่ถูกเปิดเป็นร้านขายของชำ,ขายข้าวแกง และรับตัดเย็บเสื้อผ้า
ห้องของชั้นบนถูกแบ่งให้เขาเช่า แต่กระนั้นแม่ก็ยังยกห้องชั้นบนที่เหลืออีกหนึ่งห้องให้เป็นห้องส่วนตัวของฉัน ในขณะที่น้อง และพ่อกับแม่ ต่างอยู่ด้วยกันที่ห้องด้านล่าง
สภาพแวดล้อมของบ้านในซอยเล็กๆ กึ่งสลัมแห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลายภาพชีวิต ของหย่อมหญ้าในเมืองกรุง ทำให้ฉันมีความเป็นนักสังเกตชีวิตตั้งแต่นั้น
หน้าที่ของฉันคือการเรียนและช่วยแม่ขายของ การขายของชำและขายข้าวแกงทำให้ฉันได้เห็นพฤติกรรมของคนหลายรูปแบบ บางคนที่ติดเหล้านำพาร่างกายอันบวมช้ำและมือสั่นเทามาเรียกซื้อเหล้าขาวและเซี่ยงชุนเพียงเป๊กสองเป๊ก แล้วกระดกเข้าไปในลำคอ และดูมีเรี่ยวแรงเดินเหินคล่องขึ้นได้ในทันใด
บางคนเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยลูกคนรวยมาติดพันจิ๊กโก๋รูปหล่อประจำซอย พอเกิดความเบื่อหน่ายฝ่ายชายก็ออกปากด่าไล่กันอยู่ลั่นซอย ทั้งขี้ยา ขี้เหล้า นักการพนัน ตำรวจ นักร้อง.. และหญิงสาวผู้ทำงานกลางคืน..
ในห้องเช่าที่อยู่ลึกเข้าไปจากบ้านของฉันนั้น มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเธอชื่อ “พี่คำหล้า”
พี่คำหล้าเป็นคนสวยมาก ผิวขาวเนียนละเอียดและไว้ผมยาวสีดำสนิทถึงกลางหลัง เธอชอบแวะเวียนมาซื้อของใช้จิปาถะและนั่งกินข้าวแกงที่บ้านฉันเสมอๆ ในยามสายและยามบ่ายที่เธอเพิ่งตื่น..
เธอชอบนุ่งกางเกงขาสั้นกุดจุ๊ดจู๋ และใส่เสื้อเปิดหลังเปิดไหล่ พูดจาสำเนียงเนิบช้าตามแบบฉบับสาวเหนือ..
พี่คำหล้ามักตื่นนอนในตอนสายๆ และแต่งตัวอย่างสวยงามออกไปจากบ้านในเวลาเย็น..
วันหนึ่งพี่คำหล้ามานั่งกินข้าวกับเพื่อนกะเทยและพกพาหนังสือเล่มหนึ่งมานั่งคุยอวดกัน ฉันเป็นเด็กได้แอบฟังและมองที่หนังสือเล่มนั้น เห็นเป็นรูปหญิงสาวกึ่งเปลือยที่หน้าปกและด้านใน หญิงสาวในรูปนั้นคือพี่คำหล้านั่นเอง
หากกลับจากโรงเรียนและช่วยแม่ขายของแล้ว ฉันมักชอบเรียกรถตุ๊กๆ ที่วิ่งผ่านหน้าปากซอยบ้าน จากวัดดงมูลเหล็กไปลงศิริราช แล้วนั่งเรือข้ามฟาก ข้ามไปยังท่าพระจันทร์ แล้วเดินไปเรื่อยๆ จนถึงตลาดนัดสนามหลวง
เงินทองเล็กน้อยจากแม่ที่ให้ฉันติดตัวไป นอกจากค่ารถค่าเรือและค่าขนมแล้ว ยังเหลือพอเป็นค่าหนังสือ
ฉันชอบแวะเวียนไปหยุดอยู่ที่แผงหนังสือเก่าที่วางแบกะดิน มีหนังสือหลากหลายให้เลือกมอง ฉันแอบมองไปยังหนังสือโป๊วับแวมแต่ละเล่มที่ถูกวางไว้ หลายต่อหลายเล่มมองดูโป๊มากจนฉันได้แต่ยืนมองแต่ไม่กล้าหยิบขึ้นมาเปิดดูเพราะรู้สึกอายคนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ กัน
ฉันในวัยสิบสี่สิบห้านั้น กล้าที่จะหยิบซื้อบางเล่มที่เป็นภาพหญิงสาวโป๊แต่ไม่เปลือยจนเกินไปกลับมาบ้าน หนังสือเล่มแรกที่กล้าหยิบซื้อนั้น ชื่อว่า “นวลนาง” เป็นหนังสือชื่อเดียวกับที่เคยเห็นพี่คำหล้าถือมาอวดกันที่บ้านของฉันนั่นเอง
ฉันเป็นคนโชคดีที่แม่ไม่ห้ามให้ออกไปไหนต่อไหนคนเดียว และก่อนจะไปไหนฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จสิ้นเสียก่อนแล้วจึงขอไป แม้หากแม่ไม่ยอมฉันก็รู้ว่าตัวเองจะต้องไปให้ได้
แม่คงรู้นิสัยนี้ของฉัน และเห็นว่าก่อนจะไปฉันได้ขอแล้วและถึงเวลาฉันก็กลับมาบ้านตามปกติ ไม่ได้มีพฤติกรรมอื่น อันจะทำให้แม่ต้องเป็นห่วงหรือกลุ้มใจ
ชีวิตในวัยแรกรุ่นของฉัน ไม่ได้อยู่ในสถานที่อันสวยงาม เมื่อฉันไม่เคยคิดว่าสิ่งแวดล้อมในหย่อมหญ้าของเมืองกรุงที่ฉันอยู่นั้นเป็นความสุข ฉันจึงมองไปถึงอนาคตวันข้างหน้าของตัวเองเสมอ
ความสุขที่มีในตอนนั้นของฉันคือการได้อ่านหนังสือสารพัดสารพันที่ไม่ใช่ตำราเรียน การได้ฟังเพลงจากวิทยุ และการได้มองตัวเองอย่างชื่นชมในกระจก การตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆ และรุ่นพี่ในโรงเรียน ที่มักจะทำอาการวี๊ดวิ๊ว กิ๊วก๊าว ยามที่รุ่นน้องอย่างฉันเดินผ่านหน้าห้องเรียน นั่นเป็นความสุขใจของฉัน
ฉันเป็นคนชื่นชมในตัวเอง และชอบที่จะให้คนอื่นชื่นชมในตัวฉัน หรือว่าความรู้สึกนี้กันหนอ ที่กลายเป็นแรงผลักดันอันสำคัญ ที่ทำให้ฉันบรรจงปั้นแต่รูปหญิงสาวออกมา
ภาพถ่ายโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.