คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
การย้ายมาอยู่ อ. แม่แตง นอกจากบ้านน้อยหลังใหม่ ทุ่งนาแสนสวย ป่าเขาลำเนาไพร ที่สายตาของฉันจะมองเห็นได้แล้วนั้น ฉันก็ยังมีโลกภายในอีกส่วนหนึ่งของตนเอง ที่ซ้อนทับกันอยู่ กับโลกที่สายตามองเห็นเสมอ
ความสุขและความทุกข์นั้นดูช่างจะเป็นของควบคู่กันเสมอสำหรับฉัน การชอบออกเที่ยวเชิงค้นหาและผจญภัยน้อยๆ ของฉันนั้น นอกจากจะเป็นนิสัยส่วนตัวมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว มันก็ยังเป็นกลวิธีหนึ่งที่เป็นการชดเชยความสุขในด้านต่างๆ ของตนเอง ที่ฉันได้สูญเสียไป..
ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ฉันก็เชื่อว่าคนเรานั้นจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากซึ่งความสุขไปไม่ได้
แม้เพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อันใดที่จะก่อให้เกิดความสุขขึ้นได้แล้ว มันก็จะถูกยึดเหนี่ยวไว้ด้วยความแหนหวงของผู้เป็นเจ้าของเสมอ..
สำหรับฉันความสุขที่ไม่มีราคาคือการมองสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวให้เป็นความงาม และการพยายามยอมรับกับความทุกข์ที่มีในชีวิตอย่างนอบน้อมต่อมัน โดยหวังอย่างลึกซึ้งว่า แล้วมันจะปราณีต่อเรา
พร้อมๆ ไปกับที่การงานของฉันในบ้านใหม่หลังนี้ก็ค่อยๆ เกิดขึ้น…
ที่ใต้ต้นโพธิ์อันเก่าแก่และร่มครึ้ม ซากศาลพระภูมิไม้ อันผุพังเอียงกระเท่เร่ ผ่านกาลเวลามานานเท่าไรแล้ว ฉันไม่อาจรู้ได้ และไม่ไปแตะต้อง..จากศาลาหลังคามุงแฝกซึ่งเป็นที่ทำการงานของเราเดินไปเพียงเล็กน้อย ก็เข้าเขตร่มเงาแห่งกิ่งก้านสาขาของต้นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้น
ฉันคว้าไม้กวาดไปกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นที่บริเวณใต้ต้นโพธิ์และนั่งลงกับพื้น…
ในขณะที่พี่คนเฝ้าสวนแห่งนี้ ได้เคยเอ่ยปากเล่าต่อฉันว่า ดึกดื่น..เขาเคยได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาขย่มที่บนต้นโพธิ์นั้น หลายครั้งหลายหน ยังความกริ่งเกรงจนเขาเองไม่กล้าที่จะเดินเข้าใกล้อาณาบริเวณของต้นโพธิ์แห่งนี้เลย ในเวลาเย็นย่ำค่ำมืด
แต่สำหรับฉัน การมานั่งอยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านของต้นโพธิ์อันเก่าแก่ต้นนี้นั้น ฉันได้พบกับความรู้สึก สงบและร่มเย็นคล้ายมีที่พึ่ง
ยามเมื่อใบโพธิ์ต้องสายลม ใบไม้รูปหัวใจนั้นสั่นไหววิบวับ..ราวกับรูปทรงของกระดิ่งเล็กๆ ที่แขวนไว้ตามชายคาของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์.. ตามความเชื่อลึกๆ ของฉันที่มีอยู่ในจิตใจ ว่าตามต้นไม้ใหญ่ๆต่างๆ นั้น มักจะมีดวงจิตของเทวดาในชั้นเล็กๆ ที่ใกล้ๆ กับภพภูมิมนุษย์อาศัยอยู่ ฉันจึงมักไปนั่งเงียบๆ บอกเล่าทุกข์สุขที่มีในใจกับต้นโพธิ์เสมอๆ..
ความรู้สึกอันซึมซับจากการที่ไปนั่งสื่อสารความในใจต่อต้นโพธิ์คนเดียวของฉันนั้น จึงได้กลายมาเป็นงานรูปหญิงสาวเปลือยอกแต่งกายคล้ายเทวดาในตัวแรกๆ..ที่อยู่ในจินตนาการของฉันคือสวมชฎาและรองเท้าอย่างแหลมๆ นุ่งผ้าลายงามตามการขีดเขียน แต่ทว่ากลับมีท่านั่งและท่วงท่าลีลาคล้ายกับแม่ค้าหาบเร่แบกะดินอย่างนั้น…และท่านั่งท่านั้นก็คือท่านั่งของฉันเมื่อยามนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั่นเอง…ฉันมักจะตั้งชื่องานในลักษณะนี้ของฉันว่า “เทวดา…”
สำหรับในบางวัน ฉันก็ได้พบกับแรงบันดาลใจอันงดงามอย่างไม่คาดฝัน เมื่อในระหว่างการขับรถกลับจากตลาดในยามสายฉันได้เลี้ยวรถเข้าไปตามป้ายบอกทางริมถนนว่า “วัดป่าอรัญวิเวก”
เพื่อเข้าไปสำรวจดูในวัดแห่งนั้น สำลีสุนัขแสนรักของฉันก็ได้ซุกซน กระโดดลงจากรถในขณะที่ฉันทำการเปิดประตูรถก้าวลง..สุนัขผู้ซุกซนของฉันวิ่งไถลไปเรื่อย จนออกนอกบริเวณวัด
เมื่อฉันวิ่งตามไป ฉันกลับพบว่า สถานที่ที่ฉันได้วิ่งตามสุนัขของฉันไปนั้น กลับกลายเป็นป่าช้า
และรวดเร็วเกินกว่าที่ฉันจะทันรู้ตัว ฉันก็ได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพหลุมหนึ่งเสียแล้ว..เงียบเย็นและวังเวง..มีเพียงเสียงใบไม้แห้งที่โดนเท้าของฉันเหยียบย่ำดังแกรกกราก..แกรกกราก..
ณ เนินดินที่โค้งนูนขึ้น คือหลุมศพที่มีแผ่นไม้สีซีดจางและเก่าคร่ำปักอยู่ ส่วนที่แสดงความเป็นป้ายชื่อด้วยการเขียนเป็นตัวอักษรบนแผ่นไม้นั้นห้อยต่องแต่งร่องแร่ง เหมือนว่ากำลังจะหลุดร่วงออกจากกัน
ฉันคะเนในใจว่าคงเป็นหลุมศพของคนที่ได้ตายไปนานแล้ว แต่ทว่ายังกลับมีพวงดอกไม้ที่ร้อยจากดอกไม้บ้านๆ นานาพันธ์พวงโตพวงหนึ่งแขวนอยู่บนป้ายไม้เจียนพังที่บนหลุมศพนั้น และพวงดอกไม้พวงนั้นเพิ่งกำลังจะเริ่มเหี่ยวเฉาไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ฉันหยุดยืนมองด้วยใจที่คารวะและนิ่งสงบ รู้สึกถึงความรักและความผูกพันธ์ที่มีให้ต่อกันของคน
ที่ยังอยู่และคนที่จากไป
ฉันรับรู้ถึงความงามของความรัก ซึ่งแม้จะนานแสนนานแม้ความตายมาพรากให้จากกันแต่ความรักนั้นกลับยังคงอยู่…
เมื่อฉันไล่จับสุนัขจอมซนของฉันขึ้นรถได้ ฉันก็รีบขับรถออกมาจากสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็วและเมื่อถึงบ้านฉันก็รีบบอกขอให้เพื่อนใจของฉันช่วยนำกล้องไปถ่ายรูปหลุมศพแห่งนั้นให้กับฉัน
เพื่อนใจของฉันก็ได้มาถ่ายรูปหลุมศพและพวงดอกไม้ในป่าช้าแห่งนั้นให้ฉันอย่างทันท่วงทีเช่นกัน
ฉันนำเอาความประทับใจจากพวกดอกไม้บนหลุมฝังศพแห่งนี้มาทำเป็นงานได้หลายต่อหลายชิ้นในขณะนั้นและในเวลาต่อมา โดยงานชิ้นแรกนั้นจะเป็นรูปหญิงสาวที่นั่งยองๆ อยู่อย่างมีความสุขบนเนินดินท่ามกลางใบไม้ร่วง เมื่อเห็นหลุมศพและพวงดอกไม้ฉันดึงเอาโลกภายในที่ฉันเห็นได้ด้วยความรู้สึกออกมาเป็นงานได้อย่างทันที ฉันตั้งชื่องานชิ้นที่แสนหวานชิ้นนั้นว่า “ฝัน…”
หรือแม้กระทั่งในขณะที่ฉันกำลังนั่งปั้นดินเป็นรูปหญิงสาวของฉันอยู่นั้น ฉันได้รับแรงของความทุกข์บางอย่างที่มาปะทะใจ ด้วยความอัดอั้น ระคนต่อความที่ต้องอดทนและเก็บงำ ทำให้ฉันฉวยคว้าก้านไม้ไผ่ที่ถูกเหลาเรียวยาวให้เป็นไม้สำหรับค้ำยันบานหน้าต่าง มาเสียบแทงเข้าที่กลางหว่างอกของงานดินปั้นรูปที่กำลังปั้นอยู่นั้น เป็นการะบายความรู้สึกของตนเองอย่างรวดเร็วและเงียบงัน
ฉันละมือจากงานชิ้นนั้น และลุกหนีไปจากมัน ทิ้งงานแห้งติดอยู่กับไม้ที่เสียบคาอกไว้อย่างนั้น..จนดินแห้งผาก เพื่อนใจของฉันจึงได้เก็บเอางานชิ้นนั้นไปเผา และในเวลาต่อมาเมื่อเข้ากรุงเทพมันกลับกลายเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลผู้ซื้องานบางคนอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่งานชิ้นนั้นมิได้มีความสวยงามตามแบบงานผู้หญิงสวยชิ้นอื่นๆ ของฉันเลย แต่คงเป็นด้วยความเจ็บปวดในตัวงานนั่นเองที่สามารถเข้าปะทะความรู้สึกของผู้ที่พบเห็นมันได้อย่างจัง…
ต่อมาภายหลัง ฉันได้ชื่อให้กับงานชิ้นนั้นว่า “แทงใจ” ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกและมันยังเป็นการคลี่คลายไปสู่งานชิ้นอื่นๆ ในลักษณะคล้ายคลึงกันในเวลาต่อมาของฉัน
เมื่อฉันทำงานเสร็จแล้ว ฉันมักจะเก็บงานเอาไว้ที่ข้างในตู้ เราได้ขอซื้อตู้กระจกเเก่าๆ มาจากชาวบ้านในละแวกนั้นมาสองหลัง ฉันบรรจงจัดวางงานเอาไว้ข้างในตู้ เคียงข้างกับหนังสือและนิตยสารที่ฉันรัก
ความสุขของฉันอีกอย่างหนึ่งคือการได้นั่งมองงานที่อยู่ข้างในตู้ เหมือนกับคนผู้เฝ้ามองต้นไม้ที่เขารักกำลังเติบโต..เหมือนกับคนผู้เฝ้ามองทรัพย์สมบัติที่ตนรักแหละแหนหวง..
ยามเมื่อมีเวลาว่างฉันก็ค่อยๆ ที่จะฝึกหัดนั่งสมาธิด้วยตัวเองยามอยู่กับบ้าน บางครั้งฉันก็เดินเข้าไปในที่ดินอันกว้างใหญ่ของบริเวณสวนป่าสักอันลึกเข้าไปจากตัวบ้าน เมื่อพบกับที่อันโปร่งโล่งและสบาย ฉันจะนั่งขัดสมาธิกับพื้น หลับตาลงและค่อยๆ ดูลมหายใจเข้าออกของตัวเองมีสติรับรู้อยู่ในปัจจุบัน และระลึกถึงการเกิด-ดับ ไม่เที่ยงแท้ถาวร..ที่นั่นมีไฟฟ้าฉันจึงสามารถเปิดเทปคาสเส็ทเพื่อฟังธรรมะจากเสียงพระเทศน์ได้อย่างสม่ำเสมอ…
การฝึกทำในสิ่งเหล่านี้ของฉันนั้น ก็เพื่อหวังที่จะให้ตัวของฉันเอง จะสามารถมีชีวิตอยู่ในความเป็นอยู่อันไม่มีความพรั่งพร้อมและแน่นอนใดๆ ในขณะนั้น..ได้อย่างผู้ที่มีจิตใจมั่นคงมากขึ้นนั่นเอง
และด้วยฉันเองก็ตระหนักในตนเองว่าฉันแทบไม่มีหัวจิตหัวใจให้กับตัวของตนเอง ฉันนำความรู้สึกและชีวิตจิตใจที่มีของฉันผูกติดลงไปให้กับเพื่อนใจของฉันและสุนัขแสนรักที่ชื่อสำลีจนหมดสิ้น
โดยที่ฉันก็รู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า การเอาชีวิตและความรู้สึกของตนเองไปฝากและแขวนไว้กับสิ่งใดๆ หรือใครแล้วนั้น มันช่างเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง แต่ฉันก็เป็นไปเสียแล้ว และเป็นไปอย่างคนที่ไม่เหลือทางเลือกใดๆ ไว้ให้กับตนเองแม้แต่น้อยนิด
ถ่ายภาพโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ , นายดี และมณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.