คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม พระเอย
หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบ้า
สุกกรมรำดวนชม เชยกลิ่น พระเอย
หอมกลิ่นเรียมโอ้อ้า กลิ่นแก้วติดใจ ฯ
**ลิลิตพระลอ**
ฉันเป็นคนแปลก..ฉันไม่ชอบพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาปากท้องหรือการทำมาหากิน เมื่อฉันพูดเรื่องของงานก็พูดถึงการทำงาน
พูดเรื่องชีวิตของฉันที่เป็นไป แต่หากจะพูดถึงเรื่องปัญหาปากท้องข้าวยากหมากแพงปัญหาสารพัดสารพันเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความเป็นอยู่นั้น ฉันมักจะไม่พูดถึงมันเลย และก็ยังไม่ค่อยชอบที่จะรับรู้มันอีกด้วย ทั้งที่มันก็มีอยู่ในความเป็นจริงในชีวิตของฉัน…ฉันเคยย้อนคิดสืบเสาะหาต้นเหตุของความไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ว่ามันเกิดจากอะไร
ฉันพบว่า มันน่าจะเกิดจากความกลัวของฉันนั่นเอง สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงในชีวิตของฉันและมันสามารถบั่นทอนปัจจุบันขณะของฉันให้ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสร้างสรรค์อะไรไปเสียสิ้น..หากฉันไปวิตกกับมัน สู้ให้ฉันเป็นอยู่และรับรู้มันอย่างเรียบง่าย เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปเอง
ความยากจนหรือความไม่มี ของคนผู้ประกอบการงานในทางศิลปะ ที่ฉันเคยได้ยินมาช้านานจากละครบ้าง จากนิยายบ้าง เกี่ยวกับคำว่า “ศิลปินไส้แห้ง” นั้น ถึงแม้ว่าฉันจะมีความเป็นอยู่อย่างไม่ครบพร้อม แต่ฉันก็ยังไม่เคยรู้สึกเข้าถึงแก่นแท้ของคำคำนี้ได้เลย
นั่นอาจเป็นเพราะ…ฉันอยู่แต่ในที่ทางของฉัน ฉันอยู่ในที่ที่ไม่มีคนให้เปรียบเทียบ ฉันอยู่อย่างไม่มีหนี้สิน ไม่มีลูกไม่มีภาระ มีแต่บ้าน สัตว์เลี้ยง และตัวของตัวเอง
เมื่อแรกที่ฉันกลับมาอยู่บ้านของตนเองที่สิงห์บุรีใหม่ๆ ฉันจำได้ว่า แม้จะยังพอมีเงินติดตัวอยู่ในกระเป๋า แต่ฉันก็พยายามที่จะรักษามันไว้
ด้วยการประหยัดอดออมต่างๆ นานา ฉันเที่ยวได้เดินเมียงมองหาใบไม้ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณบ้านแล้วลองเอามาทำอาหารดู ฉันไปเก็บเอาใบยอมาผัดน้ำมัน โดยฉันลองทำเหมือนกับผัดคะน้า แต่รสชาติที่แสนแตกต่างของมันทำให้ฉันต้องใช้ความพยายามกล้ำกลืนกิน ฉันไปเก็บใบตำลึงมานาบน้ำมัน ลองทำต้มจืดยอดมะขามที่เก็บจากข้างห้องนอน ผัดผักขม(ไทย) ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ตามพื้นดินทั่วๆ ไป เป็นต้น ผักเหล่านี้รสชาติก็ไม่อร่อยอยู่แล้วเมื่อถูกฉันนำมาปรุงอาหารด้วยเมนูแบบตามมีตามเกิดเข้าไปอีกนั้น ฉันจึงรู้สึกได้ถึงคำว่า “กินกันตาย” ได้เป็นอย่างดี
และในเวลาที่ฉันรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองได้กำลังเข้าสู่เขตของความลำบาก จิตใจของฉันก็จะหวาดวิตกและอ่อนไหว ต่อความเป็นอยู่ของตัวเอง ฉันมักจะโทรศัพท์ไปหา “นายดี” อดีตเพื่อนใจของฉัน ซึ่งรับฟังและช่วยเหลือฉันเสมอ ดีเปรียบเสมือนญาติสนิทของฉัน เมื่อฉันโทรไป
เขาจะตัดสายโทรศัพท์ออกเสียแล้วเป็นฝ่ายโทรกลับมาหาฉันเอง โดยไม่ต้องให้ฉันสิ้นเปลืองค่าโทรศัพท์ แล้วก็ฟังฉันระบายความรู้สึกในใจ ที่กำลังอ่อนแอของตัวเอง ฉันอาจเล่าไป ถอนหายใจไป แล้วก็จินตนาการร้ายๆ ต่ออนาคตของตัวเองไป แล้วก็สรุปไปว่า ถ้าวันหนึ่งที่ฉันลำบากมากๆ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันคงจะต้องไปขายโอเลี้ยง (ฉันชอบคิดถึงการขายโอเลี้ยง ในยามที่ตนเองท้อแท้อยู่เสมอๆ เพราะฉันคิดว่านั่นคงเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ฉันจะทำได้)
นั่นเป็นอาการของภาวะอารมณ์ของฉันที่มักจะเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตและการงานของตัวเอง เมื่อยามใดที่ฉันรู้สึกลำบากและไม่มีเงิน
แต่ในขณะเดียวกัน..ในช่วงเวลาเช่นนี้เองที่ฉันได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเครื่องทดแทนอันพิเศษ ที่เกิดขึ้นจากภาวะของชีวิตที่ลำบากขัดสนนี้ด้วย ความพิเศษที่ฉันได้รับมาจากห้วงของชีวิตที่ลำบากของตัวเองนั้นคือ “การงาน” ในภาวะเช่นนี้นั้นจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกของฉันจะกลับเข้ามาอยู่กับความรู้สึกทดท้อ ทุกข์ยากของตัวเองได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ผิดกับตอนที่ฉันมีเงินซึ่งมักจะชอบเตร็ดเตร่ไปโน่นมานี่ตามใจตัวเองเสมอๆ ฉันสังเกตว่า งานปั้นหลายชิ้นต่อหลายชิ้นที่ฉันรักมากเป็นพิเศษส่วนใหญ่แล้ว จะถูกปั้นขึ้นภายในช่วงเวลาเหล่านี้แทบทั้งสิ้น…
เมื่อไม่มีเงิน การที่ฉันจะปรนเปรอตัวเองด้วยวัตถุสิ่งของตามแต่ใจที่อยากได้นั้นเป็นอันหมดไปย่อมเป็นไปไม่ได้
เมื่อเป็นไปไม่ได้ จิตใจของฉันก็จะฝันถึงมันไปก่อน เช่นฉันอาจจะอยากได้น้ำหอมราคาแพงซักขวดหนึ่ง ที่แสนหอมและคิดว่าเมื่อได้นำมาปะพรมตัวเองแล้วฉันคงรู้สึกมีความสุขเลอเลิศ.. แต่สิ่งที่ฉันทำได้ในความเป็นจริงคือ การทำงานของตัวเองในระหว่างของการอยู่ในห้วงอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เมื่องานเสร็จ ฉันมีความสุขกับงานชิ้นที่กำลังวางอยู่ข้างหน้า..น้ำหอมที่ฝันถึงก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นอดีตที่ฉันให้ความสนใจน้อยลงไปเสียแล้ว
งานชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของตัวเองนั้น มีคุณอเนกอนันต์ต่อฉันคือ มันเหมือนขั้นบันไดที่พาฉันออกไปจากความเป็นจริงที่ไม่สมบูรณ์ชั่วขณะ มันช่วยผ่อนปรนดึงจิตดึงใจของฉันให้ถ่ายเทไปกับมัน แทนที่จะอยู่กับความทุกข์จริงๆ ในชีวิตที่กำลังเกิดขึ้น
และทุกข์ที่ฉันคิดว่าเป็นทุกข์จริงๆ นั้นๆ ฉันรู้สึกทุกข์ไปเพราะฉันเอาจิตใจไปจดจ่อคิดมากกับมัน แต่การงานและความฝันที่ช่วยดึงฉันออกไปจากมันได้ และฉันก็ “ได้งาน” เกิดขึ้นด้วย การงานของฉันช่วยดึงฉันออกไปจากความทุกข์เฉพาะหน้าได้อย่างดีที่สุด…
อาจจะเป็นที่สงสัยว่า ฉันก็ทำงานแล้วทำไมฉันจึงไม่มีเงิน งานขายไม่ได้หรือ..ฉันพอมีคำอธิบายได้ในสำหรับเรื่องนี้ว่า แม้จะมีคนอยากซื้องานของฉันแต่ฉันก็ไม่สามารถเที่ยวขายงานของตนเองได้อย่างพร่ำเพรื่อหรือสะเปะสะปะได้ ฉันนำงานที่รักนั้นไปหล่อเป็นบรอนซ์และฝากขายอยู่กับแกลเลอรี่ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาเพราะฉันไม่ชอบขายงานด้วยตัวเอง ฉันมักเกรงใจคนซื้อและรู้สึกราวกับทำร้ายเขาเมื่อเขามาบอกชอบงานของฉัน เมื่อเขาถามราคา และฉันบอกราคา หากฉันต้องขายงานเองฉันมักจะขายไปในราคาถูกๆ และขายไปแถมไป แต่มันก็มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ฉันรู้จักมาเนิ่นนานและเคยซื้องานของฉันมาเก่าก่อนแล้วนั่นเอง
บางครั้งฉันแอบคิด…..งานของฉันเหมือนแม่สาวน้อยบ้านนอก เธอพยายามทำตัวดีๆ ไปอยู่ในสถานที่ดีๆ เพื่อรอเนื้อคู่ของเธอ..รอใครสักคนที่จะมาพบเธอ รักเธอเมื่อแรกเห็น หรือวนเวียนมาจีบเธออยู่บ่อยๆ และในที่สุดก็พาเธอไปอยู่ด้วยอย่างมีเกียรติ เธอไม่สามารถจะพาตัวของเธอเองไปชายหูชายตาอยู่ตามตลาดนัดอย่างพร่ำเพรื่อได้..เพราะเธอเป็นสาวที่มีความฝัน..เธอจึงยอมอดบ้างมีบ้าง เพื่อรักษาเกียรตินั้นไว้ ในระหว่างการรอเนื้อคู่ของเธอ
ในระยะหลังๆ นี้ งานของฉันมักจะขายได้เรื่อยๆ ฉันมักได้รับโทรศัพท์บอกข่าวดีจากทางแกลเลอรี่อยู่บ่อยๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือย เวลาไปจับจ่ายซื้อของ ฉันสังเกตตัวเองว่า ฉันมักจะมองสิ่งของเครื่องใช้ที่ราคาต่ำสุดก่อนเสมอ
ฉันจึงรู้สึกเต็มใจที่จะบอกกับตัวเองว่า แม้ฉันจะกลัวและไม่ชอบความลำบากเลย แต่เมื่อเวลาที่ความจนเข้ามาหาฉัน ฉันก็จะน้อมรับมันอย่างมีความหวัง อย่างน้อยความหวังนั้นคือ ผลงานดีๆ ที่จะเกิดขึ้นจากห้วงเวลาเช่นนี้
ความเป็นอยู่ของฉันในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีสิ่งใดมายืนยันได้ถึงคำว่าความมั่นคงในอนาคตอย่างจริงจังได้เลย ภรรยาของเจ้าของโรงหล่อนั้นเป็นอีกคนหนึ่งที่มีน้ำใจและคอยตักเตือนฉันเสมอ “พี่อยากให้องุ่นเก็บออม เพราะเวลาแก่ตัวเจ็บไข้ไม่สบายจะได้ไม่ลำบาก” พี่กำไลจะบอกกับฉันอย่างนี้เสมอๆ เมื่อที่เราได้คุยกัน
ฉันน้อมรับฟังด้วยความรู้สึกเห็นด้วยแต่ฉันก็ไม่สามารถเก็บออมเงินเอาไว้ได้นาน เพราะการงานนั้นไม่ได้ขายได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือน..ทุกเดือน แต่ก็ขายได้เพียงเรื่อยๆ เมื่อถึงคราวขัดสนจริงๆ นายดี ก็เป็นคนที่ยังเป็นที่พึ่งให้กับฉันได้เสมอ แต่ก็ไม่มากมายนักเพราะเขาก็มีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากฉันเท่าไรนัก..
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันบอกกับตัวเองทั้งในยามมีและยามจน ยามมีก็ดีไปอย่างได้ลิ้มรสของความสุขสบายและทำอะไรตามใจปรารถนาได้มากขึ้น ยามจนก็ดีไปอย่าง ได้เข้าถึงความเศร้า ความขมขื่น ความท้อแท้ลึกๆ ในจิตใจ ความจน ความทุกข์ ความเศร้าสามารถเป็นกรงกักขังจนได้ชิ้นงาน..
ทั้งความมี ความจน ได้ผลัดผ่านกันเข้ามาในชีวิตของฉันเหมือนกับเป็นฤดูกาล…
ฉันครุ่นคำนึง…แล้วพิศมองที่เศษไม้ก้อนสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ที่เพิ่งไปเก็บมาจากกองไม้หลังบ้าน ฉันจะปั้นงานสักชิ้นหนึ่งไว้บนไม้ชิ้นนี้
ฉันจะปั้นอะไรดี…..
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.