คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับเลย
ครั้นพอแค่จะเคลิ้มๆ ใจก็รับรู้ไปแต่เรื่องแมวของฉันที่หายไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว
ซึ่งเมื่อเวลาที่ผ่านมาฉันได้แต่เศร้าและคิดถึง เศร้าจนจิตใจกระทบกระเทือนต้องเข้าโรงพยาบาลไปอีกครั้ง
ในความเศร้าที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีภาพของแมวที่รักว่าบาดเจ็บเพียงไรมาให้เห็นให้รู้สึก แต่เมื่อคืนนี้ที่แค่พอจะเคลิ้มหลับก็กลับรู้สึกถึงภาพแมวแสนรักบาดเจ็บทรมาน จนฉันต้องสะดุ้งเฮือกๆ แม้ยังไม่หลับ อาการเพลียของฉันนั้นมีมาแต่ตอนบ่าย
ฉันขับรถไปเที่ยวเมืองอุทัย และนั่งหลบพักอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่นั่น จนเวลาเย็นฉันจึงออกเดินไปในตลาดตอนหัวค่ำและได้ซื้อตู้เก่ามาหนึ่งใบ
ฉันนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน จิตก็ประหวัดไปถึงหัวใจในหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยหนอ เพราะวันพรุ่งนี้ฉันก็จะไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาให้หายขาดแล้ว
วกมาที่เรื่องของแมว เมื่อวันก่อนฉันไปคุยกับอา อาได้บอกกับฉันว่า ตอนที่แมวของฉันหายไปใหม่ๆ นั้น ตามเนื้อตัวของสุนัขข้างบ้านมีกลิ่นเหม็นเน่าของซากสัตว์เหมือนไปคลุกตัวอะไรตายมาอย่างไรอย่างนั้น และนั่นเองเป็นต้นเหตุแห่งจินตนาการร้ายของฉันที่เมื่อเห็นสุนัขข้างบ้านมารวมตัวกันอยู่สองสามตัวแล้วจ้องมองมายังแมวที่เหลืออยู่ของฉัน
ทำให้ฉันนึกเห็นภาพของแมวแสนรักตัวนั้นที่โดนพวกสุนัขรุมกัดตายอย่างทุกข์ทรมาน เพืยงแค่นี้จิตใจของฉันก็เข้าสู่อาการบาดเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง และมันได้เข้าไปสู่ห้วงแห่งความนึกคิดอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ฉันต้องผวาตกใจแม้จะยังไม่ได้หลับตานอน แต่ก็ยังโชคดีที่เมื่อตื่นขึ้นมาฉันมิได้มีอาการป่วยกำเริบขึ้นมาแต่อย่างใด
ตอนสายของวันคนขายตู้ได้นำตู้ไม้ใบใหม่มาส่งให้ฉัน บ้านของฉันนั้นเล็กและเต็มไปด้วยตู้จนไม่มีที่จะวางอีกต่อไป ฉันจึงนำตู้ใบใหม่เข้าไปวางไว้ในห้องนอน
มันเป็นตู้เก่าๆ ที่ถูกซื้อมาจากบ้านชาวบ้านในเขตเกาะเทโพ อุทัยธานี ความเก่านั้นทิ้งร่องรอยแห่งกาลเวลาและการถูกใช้งานเอาไว้ให้เห็น และนั่นเป็นสิ่งที่ตรงกับใจของฉัน ฉันวางแผนเอาไว้ในใจถึงงานดินเผาชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่จะนำลงวางในตู้ใบใหม่นี้
รูปปันหญิงสาวกับดอกไม้ หนังสือและน้ำหอมอีกทั้งของจิปาถะของหญิงสาวจะทำให้ตู้เก่าเขรอะมอมใบนี้กลายเป็นตู้เก่าที่สวยงามน่าค้นหาด้วยเรื่องราวและสิ่งของที่ฉันบรรจงใส่ลงไปในนั้น
งานชิ้นล่าสุดของฉันที่ทำเสร็จไปเมื่อสองวันก่อนเป็นนางรำเปลือยอก สวมชฎาในแบบง่ายๆ ของฉัน หล่อนนั่งเท้าแขนเบือนคางอย่างน่ารักใคร่ ฉันตั้งใจว่าควรจะปั้นพวกหล่อนขึ้นมาราวสี่หรือห้าชิ้น เมื่อเผาเสร็จก็จะทาหน้าด้วยสีเหลืองนวล วาดคิ้วให้โก่งดังคันศรและทาปากแดงๆ ในครั้งแรกที่ฉันได้เกิดแรงบันดาลใจในการปั้นนางรำนี้ขึ้นมา
นับเป็นเวลาสิบกว่าปีผ่านมาแล้ว ฉันได้ไปเที่ยวที่เมืองหลวงพระบาง บนถนนสายหลักซึ่งเป็นสายวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของที่นั่น ฉันพบรูปภาพเก่าของนางรำโบราณที่แต่งชุดรำสวมชฎาพร้อมแต่เปลือยที่หน้าอก นางรำเหล่านั้นทาใบหน้าสีขาว คิ้วโก่ง ริมฝีปากนั้นเรียวเป็นกระจับ ภาพที่พบนั้นเป็นภาพขาวดำ ที่งามจับใจฉันยิ่งนัก
ฉันหยุดยืนดูด้วยความชอบและสนใจ แต่ราคาของรูปนั้นก็แพงไปสำหรับฉัน ฉันมองแล้วมองอีกอยู่นาน จึงตัดใจเดินผ่านไป จนอีกวันรุ่งขึ้นภาพนางรำเหล่านั้นก็ยังตามไปในความรู้สึกของฉัน
ฉันคร่ำครวญอยู่ในใจ “อยากได้ อยากเป็นเจ้าของภาพเหล่านั้นเหลือเกิน”
“เอาสิแพงก็แพง ซื้อก็ซื้อ”
ฉันจึงตัดสินใจเดินไปเพื่อหาภาพเหล่านั้นอีกครั้งแต่ก็ไม่พบเสียแล้ว
ฉันจึงได้แต่จดจำภาพนั้นไว้ในใจ แล้วนำกลับออกมาทำเป็นงานปั้นด้วยใจที่แสนตรึงตรากับภาพในอดีตภาพนั้น
นั่นเป็นที่มาของแรงบันดาลใจในงานเกี่ยวกับนางรำหน้าขาวของฉัน นับแต่นั้นมาฉันก็ปั้นมันออกมาเรื่อยๆ ตามภาวะของใจที่หมุนเวียนเปลี่ยนผัน คือเมื่อไปสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มือและตัวก็จะทำงานเรื่องใดเรื่องนั้นไปในขณะนั้น
และความสนใจในสิ่งต่างๆ ที่มีที่เป็นอยู่ก็จะหมุนเวียนกลับมาหาฉันอีกในเวลาต่อมา และนั่นคือสาเหตุการปั้นงานที่วนไปซ้ำมาของฉันนั่นเอง
ดูๆ ไป ความรู้สึกที่นำมาทำงานก็ช่างคล้ายกับฤดูกาลอย่างไรอย่างนั้น ฤดูกาลภายในขีดคั่นของความเป็นตัวตนของตนเอง
คนส่งตู้นำตู้ใบใหม่มาส่งใหักับฉันเรียบร้อยตามเวลานัด ฉันเล็งแล้วเล็งเล่าก็ไม่มีทีวางใดๆ ที่พอเหมาะพอสมกับตู้ใบใหม่นี้เท่ากับในห้องนอน
ฉันคิดเห็นเป็นงานและสิ่งของสวยงามวางอยู่ในตู้ ในอนาคตอันไม่ไกลนี้
เมื่อเวลามีแขกมาบ้าน ฉันคงจะต้องเปิดให้เข้าชมงานถึงในห้องหับอันเป็นห้องนอนกันเลยทีเดียว แต่ก็นั่นแหละก็คงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย บ้านของคนทำงานศิลปะและสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตของพวกเขา ทุกซอกมุมนั้นดูน่าสนใจไปเสียหมด เหมือนที่ฉันเองก็เคยรู้สึกกับบ้านของคนทำงานศิลปะท่านอื่นๆ มาบ้างแล้วในระยะหลังๆ นี้ฉันเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในทัศนะบางอย่างของตนเอง
คือเมื่อก่อนฉันชอบที่จะปิดกั้นตัวเองไม่อยากต้อนรับหรือตอบรับเวลาที่มีคนอยากมาเที่ยวบ้าน แต่ในระยะหลังๆ นี้ความคิดของฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรู้สึกยินดีที่จะมีคนมาหามากขึ้นกว่าแต่เก่าก่อน และพยายามอยากทำบ้านเรือนและงานให้สวยงามสมกับที่มีคนอยากมาหา นี่คือสิ่งที่ฉันเห็นในความเปลี่ยนแปลงของตนเอง เออ คนเราหนอ ไม่มีที่แน่นอน
อย่าว่าแต่ใครอื่นเลยแม้เราเองยังมีความเปลี่ยนแปลง จนเราเองก็ยังทันกับความรู้สึกที่รู้เห็นในความเปลี่ยนแปลงของตัวเองนั้น
พรุ่งนี้ฉันก็จะไปโรงพยาบาลตามหมอนัด เพื่อไปทำการรักษาโรคที่หัวใจให้หายขาดโดยการจี้ที่หัวใจแล้ว เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีฉันจะกลับมาบรรจงสร้างฝันของฉันต่อไป
ถ่ายภาพโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ และ ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.