>>เมื่อกล่าวถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่โดดเด่นด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีธรรมชาติอันงดงาม และมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์กับบ้านเรามายาวนาน เชื่อว่าเราจะต้องนึกถึง แดนอิเหนา หรือ “อินโดนีเซีย” ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะบาหลี นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งความอลังการแห่งสถาปัตยกรรม ความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ ด้วยทัศนียภาพที่งดงามของชายหาดสีขาว ทิวเขา อาหารเลิศรส รอยยิ้มอันอบอุ่น และสินค้าแฟชั่นคุณภาพ ที่ใครไปแล้วมักพบว่ายังมีอีกหลายแห่งที่ต้องเที่ยว และต้องย้อนกลับไปเยือนเหมือนต้องมนต์ขลังของ “แดนอิเหนา”
หลายปีมาแล้วที่ “การบินไทย” ได้เปิดเส้นทางการบินนำนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนประเทศอินโดนีเซียด้วยความสะดวกสบาย โดยให้บริการบินตรงสู่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ จาการ์ตา (Jakarta Soekarno Hatta International – CGK), เดนปาซาร์-บาหลี (Denpasar-Bali Ngurah Rai – DPS) ด้วยราคาบัตรโดยสารไป-กลับ เริ่มต้นเพียง 11,425 บาท/ท่าน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ก็จะได้ผ่อนกายคลายความเหนื่อยล้า พร้อมสัมผัสความสุขในดินแดนที่เป็นเสมือนสวรรค์ทางวัฒนธรรม และความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ ที่พร้อมจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมเพียงคลิก https://bit.ly/2Ljad7C
อินโดนีเซีย หรือสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) เป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก รูปร่างคล้ายพระจันทร์หงายครึ่งซีก มีพื้นที่ 5,193,250 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 10 เท่า เป็นพื้นดิน 2,027,087 ตารางกิโลเมตร และทะเล 3,166,163 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยกว่า 17,500 เกาะ แต่มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 3,000 เกาะ โดยมีเกาะหลักๆ 5 เกาะใหญ่ คือ อีเรียน (Irian), ชวา (Java), กาลิมันตัน (Kalimantan), สุลาเวสี (Sulawesi) และสุมาตรา (Sumatra) ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุด ส่วนเกาะชวาเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดา 5 เกาะหลัก แต่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่บนเกาะนี้ และเป็นที่ตั้ง กรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นเมืองหลวง
ในแต่ละปีอินโดนีเซียได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจำนวนมาก เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมาย และมีเสน่ห์ด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในวันนี้ “การบินไทย” ขอเสนอ 9 สถานที่ท่องเที่ยวสุดเด็ด ที่หากไปอินโดนีเซียแล้วไม่ควร…พลาด และรับประกันความประทับใจ ดังนี้
เกาะบาหลี (Bali) อัญมณีแห่งมหาสมุทรอินเดีย
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อ “เกาะบาหลี” เกาะที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก และได้รับรางวัลในด้านการท่องเที่ยวมาโดยตลอด ด้วยความสวยงามของภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งชายฝั่งทะเล ชายหาดในเขตร้อนชื้น นาข้าวที่เขียวชะอุ่มลาดไปตามทางเป็นขั้น และภูเขาไฟตามไหล่เขา แถมยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย ทว่า บาหลีไม่เพียงแต่มีภูมิประเทศที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ เท่านั้น แต่ยังเด่นในเรื่องของศิลปะ ประเพณีวัฒนธรรม และศาสนามากกว่าพันปี โดยผสมผสานความเชื่อของชนเผ่าดั้งเดิมและอารยธรรมสำคัญถึง 3 ศาสนา อย่างเช่นการร่ายรำของบาหลี โดยมากอิงมาจากวรรณคดีอมตะของอินเดีย และแหล่งความเชื่อที่ยังคงเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ และสวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของบาหลี นั่นคือ วัดเบซากีห์ รวมถึงถนนที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกลุงกุง ที่มีความงดงามมากแบบหนึ่ง นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่พลาดไม่ได้กับสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกให้แวะมาเยือนที่บาหลีมากที่สุด คือ ชายหาดสำคัญอย่าง Kuta ที่อยู่ห่างจากสนามบินเพียง 2-3 กิโลเมตร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่หลงใหลกลิ่นอายทะเล โดยมีจุดเด่นด้วยชายหาดที่ยาวกว่า 8 กิโลเมตร เป็นศูนย์รวมกิจกรรมของนักท่องเที่ยวมากที่สุด โดยเฉพาะกีฬาชายหาด เพียงแค่ได้เดินเล่น ถ่ายรูป ก็มีความสุขไม่รู้ลืม
2. วัดบุโรพุทโธ (Borobudur) มหาเจดีย์ สิ่งมหัศจรรย์แห่งอินโดนีเซีย
สำหรับคนอินโดนีเซียแล้ว วัดบุโรพุทโธถือเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด โดยตั้งอยู่ที่เมืองยอร์กยาการ์ตา หรือ ยอกยา บนเกาะชวา ถูกนับว่าเป็นพุทธสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 75 ปี ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 8 และ 9 สร้างก่อนปราสาทนครวัดของกัมพูชาประมาณ 300 ปี โดยใช้อิฐบล็อกประมาณ 2 ล้านก้อนสร้างพุทธสถานแห่งนี้ขึ้นมาจนมีขนาดมหึมา หลังจากนั้นไม่นานวัดบุโรพุทโธก็ถูกทิ้งร้างขาดการดูแล และถูกซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นขี้เถ้าภูเขาไฟมานับร้อยปี จนในปี 1814 ก็ถูกค้นพบโดย เซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล และในช่วงระหว่างปี 1975-1982 วัดแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะครั้งยิ่งใหญ่ โดยรัฐบาลอินโดนีเซียและองค์การยูเนสโก และยังได้รับการบันทึกว่าเป็น “มรดกโลกที่ใหญ่ที่สุด” ในปี 1991 อีกด้วย นอกจากนี้ วัดบุโรพุทโธ ถือเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของศาสนาพุทธลัทธิมหายานที่มีความเก่าแก่ และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก โดยสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะสูงสุดทางศิลปะสมัยไศเลนทรา ที่แตกต่างจากโบราณสถานทุกแห่งในชวา และยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธมาอย่างช้านาน
3. อุทยานแห่งชาติโคโมโด (Komodo National Park)
อุทยานแห่งชาติโคโมโด ตั้งอยู่ใกล้หมู่เกาะซุนดาน้อย ประกอบด้วยเกาะใหญ่ๆ 3 เกาะ คือ เกาะโคโมโด เกาะริงกา และเกาะปาดาร์ และยังมีเกาะเล็กๆ อีก 26 เกาะ ซึ่งชื่อของเกาะตั้งตามชื่อมังกร
โคโมโด สัตว์เลื้อยคลานที่ใหญ่ที่สุดอาศัยอยู่ โดยมังกรนี้บางตัวยาวถึง 3 เมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม แม้ว่ามันจะกินซากศพของสัตว์ที่ตายแล้วก็ตาม แต่พวกมันก็ยังได้ชื่อว่าเป็นยอดนักล่าที่น่า
เกรงขาม และยังคงล่าเหยื่ออย่างนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่กำลังใกล้จะสูญพันธุ์เพราะถูกล่า อินโดนีเซียจึงมีมาตรการแต่งตั้งให้เกาะโคโมโดเป็นอุทยานแห่งชาติ รวมถึงองค์การยูเนสโกเองก็ยังรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี 1991 และยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลกในปี 2011 อีกด้วย ดังนั้น ที่นี่จึงจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และใกล้บ้านเรามากที่สุด
4. โทราจาแลนด์ (Torajaland) แดนลึกลับแห่งอิเหนา
โทราจาแลนด์ เป็นพื้นที่เขตบริเวณที่สูงทางตอนใต้ของเกาะสุลาเวสี ซึ่งเป็นบ้านของชาวโทราจา และในโทราจาแลนด์นี่เองมีบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ แถมยังเป็นที่เตะตาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก คือหลังคาบ้านจะมีขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นมุมแหลม 2 ด้าน เว้าตรงกลางลงมา เป็นที่รู้จักกันในนาม “ทองโคนัน” (Tongkonan) แต่ความสวยก็ปนมากับความสยอง เพราะบ้านหลังนี้เอาไว้เก็บศพเพื่อทำพิธี หลังจากที่คนตายแล้วก็จะนำร่างมาเก็บไว้ในบ้านนี้อยู่หลายวัน จนกว่าจะถึงพิธีศพ และคนตายก็จะถูกฝังที่รังเล็กๆ ในโพรงต้นไม้ นอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องของการทำพิธีศพที่ไม่เหมือนใครแล้ว ที่นี่ยังเด่นในเรื่องของกาแฟชั้นเยี่ยมอีกด้วย
5. บูนาเคน (Bunaken) สวรรค์ของนักดำน้ำ
สำหรับผู้มีใจรักโลกใต้ทะเล ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ต้องห้ามพลาด บูนาเคน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี ซึ่งเป็นสถานที่โปรดปรานของผู้รักท้องทะเล เพราะเป็นบริเวณที่เหมาะกับการดำน้ำมากที่สุดในอินโดนีเซีย เกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานทางทะเลของบูนาเคน มีความพิเศษตรงที่ตั้งอยู่ในห้วงน้ำรอยต่อระหว่างทวีปเอเชียกับออสเตรเลีย เป็นแหล่งที่มีปลามากมายกว่า 70 สายพันธุ์ ซึ่งอินโดนีเซียได้ตั้งให้ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลตั้งแต่ปี 1991 เพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ลักษณะของพื้นทะเลก็สวยแปลกตา และหาดูได้ยาก โดยจะมีลักษณะเป็นหน้าผาลาดชันลงไปในทะเล (Wall dive) แม้ว่านักท่องเที่ยวโดยมากที่มาอินโดนีเซียจะรู้จักเกาะบาหลีมากกว่า แต่นั่นเป็นการท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสประเพณีและวัฒนธรรม แต่หากต้องการสัมผัสถึงทะเลแบบลึกซึ้งอย่างแท้จริงแล้ว ต้องมาที่ บูนาเคน
6. ภูเขาไฟโบรโม (Mount Bromo) หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภูเขาไฟโบรโมอยู่ในเทือกเขาเทงเกอร์ ในทางตะวันออกของเกาะชวา ซึ่งภูเขาไฟแห่งนี้ยังคุกรุ่นอยู่ โดยปล่องภูเขาไฟมีความสูง 2,329 เมตร มีการระเบิดครั้งล่าสุดในปี 2547 แม้ภูเขาแห่งนี้จะไม่ใช่ลูกที่สูงที่สุด แต่ก็เป็นภูเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาด เพราะมีจุดชมวิวที่สวยงาม มองวิวได้แบบพานอรามาจากยอดภูเขาไฟ มองไปยังเถ้าภูเขาไฟข้างล่าง และวิวโดยรอบ รวมถึงควรมารอรับอรุณบนยอดภูเขาไฟแห่งนี้ เพื่อให้ทันเวลาชมดวงอาทิตย์ขึ้นสาดแสงไปทั่วพื้นดิน การเดินทางเพื่อขึ้นชมปากปล่องภูเขาไฟ สามารถเดินหรือขี่ม้า ซึ่งระหว่างทางจะมีที่พักให้เป็นระยะ โดยมากแล้วจุดประสงค์หลักๆ ของนักท่องเที่ยวที่มา คือ เดินชมรอบปล่องภูเขาไฟ และในด้านความเชื่อของคู่รัก การนำดอกไม้ที่ซื้อจากชาวบ้านมาอธิษฐานแล้วโยนลงไป จะเป็นการขอให้ความรักสมหวัง และครองรักกันตราบนานเท่านาน
7. ทะเลสาบโทบา (Lake Toba) ที่สุดแห่งทัศนียภาพทางทะเลบนปากปล่องภูเขาไฟ
ทะเลสาบโทบา ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา เป็นทะเลสาบที่เกิดในบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ มีระยะทางยาวถึง 100 กิโลเมตร และกว้าง 30 กิโลเมตร ทะเลสาบมีสีฟ้าอมเขียว เป็นเสน่ห์ของธรรมชาติที่ยังคงความบริสุทธิ์ อากาศที่สดชื่นเป็นที่น่าเหลือเชื่อว่าสถานที่นี้เคยเป็นสถานที่สร้างประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก ด้วยการระเบิดแบบ super volcanoes ที่ไม่เหมือนกับการระเบิดของภูเขาไฟโดยทั่วไป เป็นการระเบิดของภูเขาไฟที่มีความแรงสูงมากเมื่อประมาณ 70,000 ปีก่อน จนทำให้เกิดการทรุดตัวของแอ่งภูเขาไฟ ด้วยระยะเวลาที่มากขึ้น การขยายของปากปล่องก็ยิ่งกว้างและลึกขึ้นเป็นที่เก็บกักน้ำฝนที่สวยงาม กล่าวได้ว่าเป็นปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เกิดทะเลสาบสีฟ้าครามแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะชอบมาว่ายน้ำเล่นกันที่ทะเลสาบแห่งนี้
8. มัสยิดอิสติกลัล (The Istiqlal Mosque)
เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถจุคนได้มากกว่า 120,000 คน ถูกสร้างขึ้นที่กรุงจาการ์ตาตั้งแต่ปี 1975 ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจว่าผู้ที่ออกแบบสถานที่แห่งนี้คือสถาปนิกชาวคริสเตียน โดยจุดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมนี้ คือ โดมขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้แต่ไกล เน้นตกแต่งแบบอนุรักษนิยม โดยภายในห้องสวดมนต์ขนาดยักษ์มีเสาขนาดใหญ่ถึง 12 ต้นเพื่อเป็นฐานรองรับ มีประตูเข้าออกถึง 7 ทาง มีน้ำพุตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดิน รวมทั้งมีห้องสวดมนต์อีกหนึ่งห้องพร้อมลานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 และอีกหนึ่งความน่าประทับใจ คือ การเอื้อเฟื้อสถานที่ของกันและกัน โดยหากชาวคริสเตียนมาทำพิธีศาสนาใกล้ๆ มัสยิดก็สามารถที่จะเข้าจอดรถในบริเวณมัสยิดได้ นี่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของอินโดนีเซีย ที่นอกจากจะมีระบบการเมืองการปกครองที่มีเสถียรภาพแล้ว ยังเป็นแบบอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในเรื่องของศาสนา
9. เกาะสุลาเวสี (Sulawesi)
ชื่อที่เรียกกันส่วนใหญ่ของเกาะสุลาเวสีนี้คือ “เกาะกล้วยไม้” เหตุเพราะเมื่อเรามองภาพบนแผนที่จะมีลักษณะคล้ายกับกล้วยไม้ ซึ่งเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเกาะบอร์เนียว กับเกาะมาลูกู เดิมเคยเป็นที่ตั้งของราชอาณาจักรโกวา และบูกิส จนกระทั่งชาวดัตช์เข้ามามีบทบาทอยู่ช่วงหนึ่งที่ Fort Totterdam ในมากัสซาร์ และได้สร้างป้อมปราการที่ถือเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมดัตช์ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในอินโดนีเซีย ปัจจุบันป้อมโบราณแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม นอกจากนี้ ชาวเมืองสุลาเวสียังขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถทางด้านศิลปะและหัตถกรรม เช่น เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า และการเต้นรำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทอผ้าที่มีความประณีตมาก ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็อยากไปสัมผัสเกาะสุลาเวสี และมีอีกเรื่องที่น่าสนใจของที่นี่ที่คนไทยควรทราบ นั่นคือ ข้อสันนิษฐานว่าชื่อเมือง มากัสซาร์ นั้นเป็นที่มาของคำว่า มักกะสัน เพราะด้วยความเกี่ยวโยงกันในหลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยเหตุนี้ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่หากคนไทยได้แวะไปอินโดนีเซียแล้วต้องห้ามพลาดที่จะแวะมาสักครั้ง
ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากไปพิสูจน์ 9 สถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ว่าเหตุใดใครๆ ที่ไปแล้วจึงต้องย้อนกลับไป “อินโดนีเซีย” อีกหลายหน วันนี้สามารถบินง่ายสะดวกสบาย เพราะ “การบินไทย” พร้อมพาเหินฟ้าสู่จาการ์ตา, และเดนปาซาร์-บาหลี ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้เพียงคลิก https://bit.ly/2Ljad7C
อื่นๆ ที่น่ารู้
ชื่อ “Indonesia” มาจาก “indos nesos” แปลว่า “หมู่เกาะใกล้อินเดีย” เนื่องจากเป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย และระหว่างทวีปเอเชียกับออสเตรเลีย ทำให้อินโดนีเซียสามารถควบคุมเส้นทางการติดต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสองผ่านช่องแคบสำคัญต่างๆ เช่น ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดรา และช่องแคบล็อมบ็อก ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก อาณาเขต ทิศเหนือติดกับรัฐซาราวัค และซาบาห์ของมาเลเซีย ทิศตะวันออกติดกับปาปัวนิวกินี ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจดน่านน้ำของสหพันธรัฐมาเลเซีย โดยมีช่องแคบมะละกาเป็นพรมแดนกั้นระหว่างเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซียกับประเทศมาเลเซีย
สภาพภูมิอากาศ : ภูมิอากาศ อินโดนีเซียเป็นหมู่เกาะ ภูมิอากาศจึงมีลักษณะผสมผสานและเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิประเทศ โดยทั่วไปมีอากาศร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร แบ่งเป็น 2 ฤดู คือ
1. ฤดูแล้ง ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม
2. ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
เวลา : เวลาท้องถิ่นเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง (เพื่อความสะดวกในการนัดหมาย กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเป็นเวลาท้องถิ่น)
ภาษา : ในประเทศอินโดนีเซียมีภาษาพูดมากกว่า 700 ภาษา ส่วนมากเป็นภาษาในตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน และมีอยู่บางส่วนที่พูดภาษาที่ใช้เฉพาะในเกาะนิวกินี ซึ่งมีมากมายหลายตระกูลภาษา โดยภาษาราชการของประเทศ คือ ภาษาอินโดนีเซีย (หรือที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า บาฮาซาอินโดนีเซีย)
เงินตรา : รูปียะฮ์ (อินโดนีเซีย: rupiah) 1 รูปียะฮ์อินโดนีเซีย เท่ากับ 0.002270 บาท (พฤษภาคม 2561)