กว่า 7 ปี ที่ผู้ชมได้หัวเราะพุงกระเพื่อม เพราะความสุขที่ได้รับจากการชมละครใบ้ของกลุ่ม เบบี้ไมม์ (Babymime)
จากกลุ่มเพื่อนที่ชักชวนกันหาอะไรทำให้เป็นประโยชน์ในยามว่าง ด้วยการเรียนละครใบ้กับ ครูอั๋น – ไพฑูรย์ ไหลสกุล กลายมาเป็นนักแสดงละครใบ้ระดับแถวหน้าของเมืองไทย
อะไรคือเสน่ห์ของละครใบ้ที่ทำให้หลงใหล 3 หนุ่ม ประกอบด้วย เกลือ – ทองเกลือ ทองแท้,งิ่ง – รัชชัย รุจิวิพัฒนา และ ธา – ณัฐพล คุ้มเมธา ตอบว่า เพราะจุดเริ่มต้นเกิดจาก ต้องการทำอะไรเล่นๆ สนุกๆ จึงไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำคือการทำงาน อีกทั้งสมาชิกทั้งหมด เปรียบเหมือนทาง สายตรึง สายกลาง สายหย่อน ที่มาเจอกันจนเกิดเป็นความลงตัว ตลอดจนการตอบรับและกำลังใจจากผู้ชม ที่ยังมีให้ตลอด โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆนอกจากความสุขที่ได้รับจากการแสดง
โดยเรื่องราวที่ เบบี้ไมม์ เลือกมานำเสนอผ่านการแสดง มีทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องใกล้ตัว ซึ่งบางเรื่องอาจคิดตรงกันกับผู้ชม ในเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ แต่พวกเขาได้ใช้จินตนาการถ่ายทอดออกมาผ่านศิลปะละครใบ้ จึงทำให้เรื่องที่เคยเป็นเรื่องน้ำท่วมปาก เปลี่ยนเป็นเรื่องฮา ที่แบ่งปันให้รู้สึกร่วมกันได้ไม่ยาก
นอกจากการแต่งกายในชุดเสื้อลายทางทับด้วยเสื้อกั๊กอันเป็นที่ติดตาผู้ชม เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของพวกเขา คือการเชื้อเชิญให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมกับการแสดง
“พอรู้ว่ามีสามคนนี้อยู่ปุ๊บ แน่นอนว่าต้องสนุก เผลอๆคุณอาจต้องขึ้นไปเล่นกับพวกเราด้วย เพราะเราไม่อยากเป็นฝ่ายเล่าฝ่ายเดียว แต่อยากให้ผู้ชมเล่ากับเราด้วยครับ” งิ่ง – รัชชัย รุจิวิพัฒนา ให้เหตุผล
สัมผัสจากการแสดง ดูเหมือนว่าชีวิตของทั้ง 3 หนุ่ม คงเต็มไปด้วยความสุข แต่แท้ที่จริงพวกเขามีชีวิตไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ที่บางเวลาย่อมมีเรื่องให้เครียด,ปี๊ด,จี๊ดและหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัวได้เช่นกัน ไม่ว่าเรื่อง ถูกเอารัดเอาเปรียบ,ถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลังในวันที่เงินค่าแรงเพิ่งเข้ามาอยู่ในกระเป๋าได้เพียง 2 วัน และ พ่อป่วย
แต่เมื่อ The Show Must go on พวกเขาจึงต้องละวางสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง แล้วกลับมามุ่งมั่นและจริงจังกับการแสดงต่อไป มิหน้ำซ้ำการแสดงนี่เอง ที่กลายเป็นยาขนานเอกช่วยบำบัดให้สิ่งต่างๆในชีวิตดีขึ้น
“ผมรู้สึกว่า ผมใช้ละครบำบัดตัวผมเอง เวลาผมเล่นละครแล้วผมจะลืมเรื่องเครียดๆไป ยิ่งเห็นคนดูสนุกเราก็ยิ่งสนุกไปใหญ่ แล้วพอกลับไปดูเรื่องเครียดๆอีกที อ้าว ..มันก็ไม่ได้เครียดสักเท่าไหร่ บางเรื่องก็กลายเป็นเรื่องตลกนะครับ เออมันไม่ได้เครียดอย่างที่เราคิดเนอะ เราคิดไปเอง” ธา- ณัฐพล คุ้มเมธา ยันยัน หลังจากที่ได้ลองและรู้ด้วยตัวเองมาหลายปีว่า ละครใบ้ คือ ยาวิเศษ สำหรับชีวิตเขา
เพราะฝันว่าวันหนึ่งจะถูกรับเชิญให้เข้าร่วม เทศกาล International Mime Art Festival ณ เมืองเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่เปรียบได้กับ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ สมาชิกทั้งหมดของ เบบี้ไมม์จึงไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆออกมาสู่สายตาผู้ชมอย่างต่อเนื่อง และพยายามพัฒนาตัวเองด้วยการแสวงหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ
ต้นปีที่ผ่านมา พวกเขาเดินทางสู่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย เพื่อไปเรียนรู้เพิ่มเติมจาก Thomas Leabhart ปรมาจารย์ละครใบ้แนวแอบแสตรคจากสหรัฐอเมริกา และเป็นคนไทยเพียงกลุ่มเดียวที่ได้เข้าร่วมอบรม ท่ามกลางคนอินเดีย ที่บ้างมีอาชีพเป็น ผู้กำกับ, ครู ,นักเรียนการแสดง แม่บ้าน และคนทั่วไป ที่มีเป้าหมายในการนำทักษะของละครใบ้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
“สิ่งที่สอนคือเบสิกของละครใบ้เลยครับ สิ่งที่เราเคยทำมา บางอย่างเราก็หลงลืมไปแล้วว่า เออเมื่อก่อนเราเคยฝึกเบสิกอย่างนี้ มันเหมือนฐานเราชำรุด แล้วอาจารย์เขาก็ช่วยเติมบางอย่างที่เราหลงลืมไป ทำให้มันแข็งแรงขึ้น
เหมือนไปเรียนภาษาว่า ทำไมเขียน ก.ไก่ ต้องเริ่มจากตรงนี้ เมื่อก่อนเราอาจจะเขียนหวัด เหมือนเขาสอนให้เราปราณีตแล้วก็บรรจงในการเขียนภาษาละครใบ้มากขึ้น”
เกลือ – ทองเกลือ ทองแท้ บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รับจากการเดินทางไปอินเดีย
“เหมือนเรารู้ว่า เราจะทำท่านั้นท่านี้ให้สวยงามขึ้นอีกได้อย่างไร ปกติเราจะรู้ว่าเราจะเล่ายังไงใช่ไม๊ฮะ แต่ว่าเราไม่เคยรู้ว่า ถ้าเล่าให้มันชัดกว่านี้ ให้มันสวยกว่านี้ จะทำอย่างไร” งิ่ง ช่วยเสริม
“ได้ความละเอียดขึ้นครับ ตกแต่งตรงนี้อีกนิด ขยับร่างกายตรงนี้อีกหน่อย เพิ่มอีกนิดนึง โอ้ .. มันสุดยอด หรือจะทำท่านี้ก็ได้” ธา เสริมบ้างอีกคน
ก่อนที่เกลือจะพูดติดตลกทำลายบรรยากาศการสนทนาที่เริ่มเป็นวิชาการว่า
“เหมือนเมื่อก่อนเราอยู่คลองตันแต่ตอนนี้เหมือนเราไปถึงพัฒนาการแล้ว” (แล้วทุกคนต่างมองหน้า คิดได้ไง)
ทริปอบรมละครใบ้ที่อินเดีย แม้ชีวิตอีกด้านหนึ่งจะต้องไปตกอยู่ท่ามกลาง การผจญภัยบนท้องถนน ในแบบที่ต้องเสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา รวมถึงอาหารและน้ำที่ไม่ถูกปากและถูกสุขลักษณะเท่าใดนัก แต่ในด้านหนึ่งพวกเขาก็รู้สึกชื่นชมในศิลปวัฒนธรรมของอินเดีย ที่ยืนหยัดอยู่อย่างเข้มแข็งจนถึงทุกวันนี้
“เหมือนย้อนกลับไปชนบทของเมืองไทยเมื่อประมาณ 40 – 50 ปี แต่ว่าสิ่งที่สวยงามคือ ศิลปวัฒนธรรมเขาแข็งแรงมากครับ เหมือนมันค่อยๆเจริญเติบโต รู้สึกว่า มันแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก เหมือนศิลปะมันอยู่ในสายเลือดของเขา
ตอนที่เราไปโชคดีมาก เขากำลังมีงานแสดงศิลปะพื้นเมือง อย่างเขาเป็นศิลปินอยู่แล้ว เขาก็จะพาเราไปหาศิลปินพื้นบ้านของอินเดียแต่ละเขต แต่ละอำเภอ บางคนก็จะเล่นเครื่องดนตรีที่เป็นหีบเพลงโบราณ เล่นกลอง และรำ
ซึ่งหน้าตาของแต่ละคน ตอนแรกเราแปลกใจอยู่เลยว่า นี่เหรอ ศิลปินแห่งชาติ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆใน ซอกเล็กๆ เวลาคุยก็เหมือนจะหูตึง แต่พอเขาเล่นดนตรีกลายเป็นอีกคนหนึ่ง กลายเป็นคนหนุ่มไปเลย มันทำให้เราลืมภาพที่เขาเป็นคนแก่ หลังค่อม หูตึง ทุกอย่างบรรเจิดมาครับ
ผลงานศิลปะของเขาก็ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักหรืองานเพ้นท์ติ้ง เป็นงานที่เห็นแล้วรู้สึกแปลกมากครับ ความสวยงาม การเบรกสี อะไรอย่างงี้ หรือตึกที่เขาทำ ปูนจะมีทรงโค้งทรงเว้า มีซอกมุมไว้เก็บของอย่างสวยงาม”
เมื่อได้ไปเปิดหูเปิดตา,เรียนรู้ทักษะละครใบ้เพิ่มขึ้นในต่างแดน และใช้เวลาซ้อมกว่า 6 เดือน พวกเขาจึงพร้อมแล้วกับ Babymime Show ที่เดินทางมาถึง Vol.4 แล้ว ตามสัญญาว่าจะมีการแสดงใหญ่ๆให้ชมทุกๆ 1 ปี
ที่ผ่านมา Vol.1 ในคอนเซปต์ “เล่น เล่น เล่น” มีไฮไลท์คือเรื่อง 007 โชว์แนวแอคชั่นและบู๊ อิงกับกระแสหนัง “เจมบอนด์” บางภาค ที่ลาโรงไปหมาดๆ(ในตอนนั้น)
ต่อมา Vol.2 “รักนะ… แบ๊ะ แบ๊ะ” เบบี้ไมม์ เลือกหยิบเรื่องไทยอย่าง “ไกรทอง” มานำเสนอ โดยมีไฮไลท์ เป็นฉากแบล็คไลท์ อันสวยงามใต้ท้องทะเล บนเวทีละครใบ้ และต่อด้วย Vol.3 “มันส์สามเด้ง” ที่มีการแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์
มาถึง Vol.4 “ฮา เหิน หาว” เป็นอีกครั้งที่พวกเขาอยากชวนเราไป “เหงือกขยับ ตับสะเทือน พุงกระเพื่อม” กับผลงานในแนว Chinese Comedy Action หลากหลายเรื่องในระยะเวลา 2 ชั่วโมง
และมีเรื่องไฮไลท์ เป็นเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง “โปเยโปโลเย” เรื่องราวของผีสาวพราวเสน่ห์ แนว Thriller-Comedy-Fantasy กับการต่อสู้เพื่อความดีงามเพื่อเอาชนะปีศาจต้นไทร 1,000 ปี ที่มาพร้อมความโหดร้ายและความน่าสะพรึงกลัว
“เรื่อง โปเยโปโลเย มันมีประเด็นเรื่องความรัก และความดี ทั้งความดีของตัวพระเอก และความรักระหว่างคนกับผีที่มันเป็นไปไม่ได้ ตรงนี้มันน่าสนใจนะครับ ก็เลยคุยกันผู้กำกับ (นิกร แซ่ตั้ง ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาการแสดง และ ปานรัตน กริชชาญชัย) ว่าเราลองมาทำกัน
แล้วเราก็ไม่เคยทำละครใบ้ที่มันเป็นฉากผีอะไรอย่างนี้ ทั้งเรื่องของผี และเรื่องวิทยายุทธที่มันจะต้องต่อสู้กัน คิดว่าน่าจะทำให้ผู้ชมเห็นภาพได้ง่าย แล้วก็สนุกได้ด้วย”
ถ้าถามถึงความพิเศษที่มากกว่านั้น งิ่ง เปิดเผยนิดนึงว่า ครั้งนี้ เกลือคิดค้นเทคนิคของการเล่นกับผ้ามาใช้กับการแสดงครั้งนี้โดยเฉพาะ
“เพราะในหนังจีน มักจะมีการสะบัดผ้า เพื่อโชว์ความสวยงามของผ้า เราก็เลยเอาผ้ามาเป็นเทคนิคพิเศษในการเล่นในเรื่องนี้ด้วย”
ส่วน ธา เสริมว่า “มีการลอยตัวกลางอากาศ เพราะถ้าพูดถึงหนังจีนต้องมีฉากต่อสู้ ฉากลอยตัวกลางอากาศ แต่เราก็จะแสดงให้เป็นไปตามแบบฉบับละครใบ้ของเรา”
ดังนั้นผู้ชมลองไปชมด้วยสายตาตัวเองว่า ละครใบ้ในแบบที่มีฉากต่อสู้ ฉากลอยตัวกลางอากาศ แบบที่ไม่ต้องโหนสลิงหรือพึ่งแสตนอิน แต่ยังสามารถ ฮา เหิน และหาว ได้ จะสนุกแค่ไหน
“คนที่เคยดูครั้งก่อนๆ ตอนนี้ซื้อบัตรเรียบร้อยแล้วครับผม สำหรับคนที่ไม่เคยดู คิดว่าอยากให้มาลองดูสักครั้งเดียว ชวนให้มาดูเรื่องสนุกๆและตลกๆกัน คิดว่าเข้าใจและหัวเราะแน่นอนครับ” …งิ่ง
“ เห็นหน้าพวกเราก็ตลกแล้วครับ แค่ดูภาพนิ่งยังตลกขนาดนี้ แล้วถ้ามาดูร่างกายแท้ๆที่มันขยับ และเคลื่อนไหว มันจะสนุกแค่ไหน” …เกลือ
“นอกจากสนุกแล้วคุณยังได้จินตนาการกลับบ้านเป็นของแถมด้วยครับผม คุ้ม อิ่ม มันส์ ครบถ้วน” …ธา
3 หนุ่ม เบบี้ไมม์เชิญชวน ก่อนจะมีโปรแกรมไปร่วมเทศกาลละครใบ้ที่ประเทศเกาหลี และในงานการกุศลที่ประเทศมาเลเซีย ภายหลังจากที่ Babymime Show Vol.4 เสิร์ฟสู่สายตาผู้ชมอย่างถ้วนทั่ว::Text by ฮักก้า
Babymime Show Vol.4 “ฮา เหิน หาว” มีเพียง 10 รอบการแสดงเท่านั้น ในวันที่ 18-20 และ 25-27 มีนาคม พ.ศ.2554 รอบ 19.30 น. เพิ่มรอบ 14.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ ณ สถาบันปรีดีพนมยงค์ ซอยทองหล่อ (ที่จอดรถมีจำกัด BTS สะดวกที่สุด) บัตรราคา 600 และ 400 บาท รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายมอบให้กับมูลนิธิไชยวนา
จำหน่ายบัตรทางเคาน์เตอร์ไทยทิคเก็ตเมเจอร์และเซ็นทรัลทุกสาขา สอบถามรายละเอียดการจองบัตรได้ทาง call center โทร. 0-2262-3456 และ www.thaiticketmajor.com หรือ BABYMIME CALL CENTER 081-915-7885
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ และ Celeb Online www.astvmanager.com โทร.0 -2629 – 4488 ต่อ 1530 Email: [email protected]
Comments are closed.