Art Eye View

อุทาหรณ์!! ภาพเขียน “อังคาร กัลยาณพงศ์”ถูกลูกจ้างหญิงขโมยไปขายร้านขายไม้ทำกรอบรูป เกือบหมดเเกลี้ยง ไม่เหลือทำพิพิธภัณฑ์

Pinterest LinkedIn Tumblr


ART EYE VIEW—หลังจากที่เมื่อปี 2555 อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ปี 2532 และเจ้าของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ซีไรต์ (S.E.A. Write ) ปี 2529 จากผลงานกวีรวมเล่ม “ปณิธานกวี” ผู้มีผลงานทั้งในด้านกวีนิพนธ์และภาพเขียน ได้เสียชีวิตไป และได้มีงานพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อปี 2556

ล่าสุด อุ่นเรือน กัลยาณพงศ์ ภรรยาของอังคาร หรือ “ท่านอังคาร” ที่ใครหลายคนเรียกขาน ได้ออกมาให้ข่าวว่า

ขณะนี้ผลงานภาพเขียนชิ้นสำคัญๆทั้งชิ้นใหญ่และชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลงานของอังคารที่ทางครอบครัวเก็บรักษาไว้เพื่อ “พิพิธภัณฑ์จิตรกรกวี อังคาร กัลยาณพงศ์” เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง ได้ถูกขโมยไปขายให้ร้านทำกรอบรูปร้านประจำที่เคยใช้บริการมาเป็น 10 ปี และถูกขโมยไปโดยลูกจ้างหญิงภายในบ้านซึ่งทำงานด้วยกันมากว่า 20 ปี


โดยอุ่นเรือนบอกว่าได้มารู้ว่าภาพเขียนหายไปเมื่อช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา

เนื่องจากในวันนั้นมีความรู้สึกว่าอยากจะจัดข้าวของ รวมถึงผลงานของสามีที่ถูกเก็บรักษาไว้ในห้องต่างๆ ได้แก่ ห้องพระ,ห้องกินรี(ห้องทำงานของอังคาร) และห้องนอนของตน เพราะตั้งแต่วันทีสูญเสียสามีไป ทุกอย่างได้ถูกปล่อยไว้ในสภาพเดิม

แต่ก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ว่าภาพเขียนเหล่านั้นได้หายไปแล้ว จึงได้เรียกลูกจ้างหญิง ซึ่งมีชื่อว่า “อ้น” มาสอบถาม

เนื่องจากในช่วง 1 ปี กว่าก่อนที่อังคารจะเสียชีวิต ทางครอบครัวเคยจับได้ว่าลูกจ้างหญิงรายนี้ ขโมยภาพเขียนไปขายให้ร้านขายไม้ทำกรอบรูปมาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ในครั้งนั้นเมื่อลูกจ้างหญิงสารภาพและได้ไปนำภาพเขียนมาคืน ก็ได้มีการยกโทษให้อภัยและยังคงให้ทำงานต่อไป

ขณะที่ร้านขายไม้ทำกรอบรูปร้านนั้นทางครอบครัวได้ตัดสินใจเลิกใช้บริการ เนื่องจากเห็นว่าทำไมทางร้านไม่โทรมาสอบถามหรือแจ้งให้ทราบบ้างสักนิด ทั้งที่ใช้บริการมานาน

“เมื่อเกิดสิ่งปกติกขึ้นมา ทำไมเค้าไม่ถาม ทั้งที่เราเองก็เคยติดต่อซื้อไม้กรอบด้วยกัน รู้จักกัน เพียงแต่ว่า ไม่ได้เคยเห็นหน้ากันแค่นั้นเอง เพราะที่ผ่านมา สองพี่น้องจะเป็นคนขับรถตู้ไปเอาไม่กรอบมา เค้าจึงรู้จักทั้งอ้นและอ้อม

ถ้าเค้าเป็นผู้ใหญ่จริงเค้าต้องโทรศัพท์มาถามว่าเด็กที่บ้านเอารูปมาขาย พี่อุ่นเรือนให้เด็กเอามาขายหรือ หรือเด็กขโมยมา เค้าไม่บอก”

และ โดยปกติ ผู้ที่อยากจะซื้อผลงานของอังคาร อุ่นเรือนบอกว่าจะต้องมาซื้อที่บ้านเท่านั้น จะไม่มีการนำออกไปเร่ขายหรือฝากขายข้างนอก เว้นเสียแต่ผู้ที่ซื้อไปได้นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง


“ประมาณ 2-3 ทุ่มของวันนั้นดิฉันก็เลยเรียกเค้า เข้ามาพบ แล้วเค้าก็ทำเป็นเดินหา ดิฉันก็บอกว่าจะเดินหาอะไร เพราะรูปมันไม่มีแล้ว และเชื่อว่าต้องเป็นเค้าที่ขโมยไป

พอรุ่งขึ้นดิฉันก็ทำการสอบสวน แต่เค้าปฏิเสธหมด ไม่ได้พูดอะไรเลย กระทั่งในวันเดียวกันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ดิฉันได้โทรหาหลานสาวท่านอังคารซึ่งเป็นตำรวจหญิง ให้มาหาแล้วทำการสอบสวนเค้า

แต่เค้าก็ยังคงปฏิเสธ ร้องไห้ ยกมือไหว้ สาบานต่อหน้ารูปปั้นท่านอังคารว่าเค้าไม่ได้ทำอะไร

ต่อจากนั้นหลานสาวของท่านอังคารก็ได้พาเค้าไปทำการสอบสวนต่อที่กรมตำรวจ

พอถูกสอบสวนตามวิธีการของตำรวจ เค้าก็เลยรับสารภาพว่าเป็นคนเอาภาพเขียนไปขายให้ร้านขายไม้ทำกรอบรูป”

ซึ่งร้านขายไม้ทำกรอบรูปก็คือร้านเดียวกับ ร้านสุทธาศิริ ที่ลูกจ้างหญิงเคยถูกจับได้ว่านำภาพเขียนไปขายให้เมื่อครั้งที่อังคารยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

จากนั้นอุ่นเรือนเล่าว่าตำรวจหญิงซึ่งเป็นหลานของอังคาร ได้นำตัวลูกจ้างหญิงไปที่ร้านขายไม้ทำกรอบรูป ซึ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของร้านตกใจมาก แต่ก็ได้วิ่งขอไปความช่วยเหลือจากตำรวจรายอื่นเช่นกัน

“เป็นตำรวจใหญ่เหมือนกัน และตำรวจรายนั้นก็นั้นก็ได้มาบอกตำรวจซึ่งเป็นหลานของท่านอังคารว่า อย่าเอาเรื่องกับร้านสุทธาศิริ เลย ทางร้านก็เลยได้ใจ พร้อมทั้งฝากมาบอกดิฉันด้วยว่าคุณอุ่นเรือนต้องเขียนจดหมายมาขอโทษ เพราะทางร้านได้จ่ายเงินนำเข้าบัญชีธนาคารถูกต้องทุกอย่าง

และถ้าดิฉันฟ้อง เค้าจะสู้ เค้าไม่สำนึกเลยว่าตนเองทำถูกต้องไม๊”


อุ่นเรือนจึงได้บอกให้ลูกจ้างหญิงเขียนจดหมายด้วยลายมือขึ้นมาฉบับหนึ่งเพื่อสารภาพว่าเคยขโมยอะไรไปบ้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำอย่างไร

จึงทำให้ทราบว่าลูกจ้างหญิงได้ขโมยภาพขียนไปขายให้กับร้านขายไม้ทำกรอบรูปดังกล่าวในราคาที่ถูกจากราคาจริงมาก(ราคาภาพประมาณ 350.000 บาท ขาย 80,000) โดยที่วิธีจ่ายเงินทางร้านจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นบัญชีของอุ่นเรือน ที่ลูกจ้างหญิงได้ขโมยไปพร้อมบัตร ATM จากนั้นลูกจ้างหญิงก็จะนำบัตร ATM ไปกดเงินออกมาใช้

การที่ลูกจ้างหญิงสามารถขโมยบัญชีธนาคารพร้อมบัตร ATM ไปใช้ได้โดยง่าย

 อุ่นเรือนยอมรับว่าเพราะที่ผ่านมาไว้ใจ นอกจะให้ทำหน้าที่ขับรถให้ตนเอง คอยไปรับไปส่งลูกสาว บ่อยครั้งที่ใช้ไปทำธุรกรรมทางด้านการเงิน 


“บางครั้งดิฉันก็จะใช้เค้าไปเบิกเงิน ไปฝากเงินให้”

ขณะที่ดวงตาของอุ่นเรือนก็อยู่ในสภาพที่มองเห็นอะไรไม่ชัด เพราะนับตั้งแต่เคยผ่าตัดสมองเมื่อ 16 ปีที่แล้ว นอกจากจะส่งผลให้ใบหน้าเสียรูป ยังทำให้ดวงตาข้างหนึ่งบอด ส่วนอีกข้างหนึ่งมองเห็นอะไรไม่ชัด ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะรู้ได้ว่า ในแต่ละวันใครเดินเข้าเดินออกภายในบ้านบ้าง

มากไปกว่านั้น คำสารภาพในจดหมายของลูกจ้างหญิง ยังทำให้อุ่นเรือนได้รู้ว่า จากครั้งแรกที่เคยจับได้ว่าลูกจ้างหญิงขโมยภาพเขียนไปขายในช่วง 1 ปีกว่าก่อนที่อังคารจะเสียชีวิต กลับกลายเป็นว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกเสียแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นลูกจ้างหญิงก็เคยขโมยภาพเขียนไปขายให้ร้านสุทธาศิริมานานแล้ว โดยสารภาพว่าเริ่มขโมยตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นระยะนานถึง 7 ปี

“ตั้งแต่ปี 50 – 57 อ้นบอกว่าเธอได้รับเงินที่ทางร้านโอนให้ 7-8 แสนบาท ขณะที่ทางร้านบอกว่าที่ผ่านมาโอนเงินเข้าบัญชีดิฉันเป็นล้าน”

ความผิดครั้งนี้ใหญ่โตเกินให้อภัย นางอุ่นเรือนจึงได้ตัดสินใจไล่ลูกจ้างหญิงรายนี้ออก

ในเวลาต่อมาอุ่นเรือนก็ยังได้มารู้ความจริงอีกเรื่องด้วยว่า ลูกจ้างหญิงได้ไปปลอมลายเซ็นของตนเองไปเบิกเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย อีกด้วย

“ตั้งใจจะไปเบิกเงินจากบัญชีกสิกร ซึ่งไม่ได้ทำ ATM มาใช้ ซึ่งเงินก็ไม่มากหรอก แค่ 4 แสน แต่อ้นปลอมลายเซ็นดิฉันไปเบิกจนเหลือแค่ 925 บาท

ธนาคารก็คงเห็นว่าเวลาดิฉันไปเบิกเงิน อ้นเค้าจะเป็นคนจูงดิฉันไป หรือไม่ดิฉันก็ให้ลูกสาวไปเบิก”


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้งอุ่นเรือนต้องจมอยู่กับความทุกข์ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ อยากได้ภาพเขียนคืน แต่ก็ดูท่าจะเป็นไปได้ยาก

“ภาพไปอยู่ในมือเค้าแล้ว เค้าจะปล่อยคืนให้เราหรือ ต้องเป็นคนที่มีใจเป็นพระเท่านั้นที่จะคืนภาพให้ หรือไม่ก็ต้องเอาเงินไถ่คืน แล้วดิฉันจะเอาเงินที่ไหนไปไถ่

แล้วดิฉันคิดว่างานที่หายไปนั้นก็ไปไหนไกลหรอก เพราะวงการศิลปะเมืองไทยมันแคบ

งานพวกนี้มันต้องอยู่ในกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนที่ซื้อภาพโดยมากอยู่ที่กรุงเทพฯกันนี่แหล่ะค่ะ นักธุรกิจ พ่อค้า อย่างที่เคยซื้อไปจากดิฉัน นักธุรกิจก็ซื้อไปเก็บเอาไว้ พ่อค้าก็ซื้อไปขายต่อ

และร้านสุทธาศิริที่เขาซื้อภาพไปเนี่ย เป็นไปได้ทั้ง ภาพบางส่วนยังอยู่กับเขาหรือไม่ก็กระจายขายไปหมดแล้ว

และเป็นไปได้ว่าที่ผ่านมาอ้นอาจจะนำไปขายให้อีกหลายคนด้วยซ้ำ แต่จากจดหมายสารภาพมีแค่ร้านนี้”

อีกทั้งเชื่อว่าภาพชิ้นสำคัญๆน่าจะหายไปในช่วงที่ศพของท่านอังคารเก็บไว้ 100 วัน ก่อนพระราชทานเพลงมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ราคาภาพน่าจะสูงขึ้นจากเดิม

และทุกวันเสาร์อุ่นเรือนก็จะไปทำบุญที่วัดทองนพคุณซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพไว้ ทำให้สะดวกต่อการขโมยภาพไปขาย

ทุกวันนี้เวลาที่คิดถึงภาพเขียนที่หายไป อุ่นเรือนจึงทำได้เพียง นำภาพถ่ายที่ถ่ายไว้มาชม หรือไม่ก็เป็นภาพในหนังสือ

“แต่ยังไงมันก็สู้ภาพเขียนจริงไม่ได้ เพราะในใจเรารู้ว่ามันไม่ใช่

ภาพเขียนของท่านอังคาร เป็นงานของแผ่นดิน เราหวังว่าจะเก็บเอาไว้ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมภาพเขียนได้มีกำลัง ได้แรงบันดาลใจอะไรต่างๆเวลาที่เค้าเข้ามาดูภาพเขียนของท่านอังคารในพิพิธภัณฑ์ อย่างน้อยจุดเล็กๆ ที่สุด จุดเล็กๆจุดนี้ก็คงจะช่วยคนได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

คนดีๆที่ทำอะไรต่ออะไรไว้เพื่อจรรโลงโลกมนุษย์ แต่ว่าแรงด้านลบมันมากกว่าด้านบวก ด้านบวกมีอยู่จุดเดียวเล็กๆ สู้ด้านลบที่ไม่ได้ เราก็คิดว่า เราจะทำได้ไม่มากก็น้อย ยังดีกว่าไม่มีใครทำอะไรเลย ดังนั้นดิฉันทุ่มเทแต่ก็มาถูกทำลาย

ตอนแรกเราตั้งใจว่าเราจะซื้อที่ข้างๆบ้านที่เค้าจะขายทำพิพิธภัณฑ์ขึ้นมา เรามีแต่ความฝันค่ะ เราอยากจะทำพิพิธภัณฑ์ให้ท่านอังคาร เพื่อที่จะเก็บภาพเขียน เก็บบทกวีที่ท่านอังคารเขียน เพราะงานท่านอังคารเป็นที่เลื่องลือ แม้แต่ลายมือไม่เหมือนใครในโลกนี้หรอก แม้แต่ลายเซ็น”

แต่เมื่อการซื้อที่ต้องใช้กำลังทรัพย์ ทางครอบครัวจึงเปลี่ยนมาใช้บ้านที่อยู่อาศัย ย่านพระราม 9 ทำเป็นพิพิธภัณฑ์พลางๆไปก่อน เพราะอย่างน้อยๆบ้านหลังนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นแรกของครอบครัว และที่สำคัญน่าจะมีกลิ่นไอของท่านอังคารหลงเหลืออยู่ให้สัมผัสบ้าง


กระทั่งเมื่อราว 3 อาทิตย์ก่อน 'สมณโพธิรักษ์’ แห่งสันติอโศก สถานที่ซึ่งเคยจัดงานหาเงินช่วยเหลืออังคาร ได้เรียกให้อุ่นเรือนไปพบ

“พ่อท่านเรียกให้ไปพบเพื่อที่ท่านจะเทศน์ให้ฟัง เรื่องการอภัยทาน และการปล่อยวาง

บอกว่าที่ดิฉันเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่ปล่อยวาง เราคิดว่าของๆเราโดนขโมยไป ท่านอังคารก็จากไป ภาพเขียนก็หายไป การเงินก็ติดขัด

ตอนนี้ดิฉันทำใจได้อย่างที่ที่พ่อท่านพูด เราปฎิบัติแล้วคือ การให้อภัยทาน คือการให้ทานที่สูงสุด และปล่อยวาง เราจะไม่ได้เป็นทุกข์

ดิฉันก็ปล่อยวางไม่เอาเรื่องทั้งสองคนแล้วคนอ้นกับร้านทำกรอบรูป”

และตอนนี้ลูกจ้างหญิงคนดังกล่าวก็ได้รับโอกาสให้กลับมาทำงานตามเดิมแล้ว

“หลังจากที่พ่อท่านเรียกไป ขณะนี้อ้นกลับมาทำงานที่บ้านตามเดิม แต่ครึ่งวันแรกมาทำงานที่บ้าน ครึ่งวันหลังให้เค้าไปขายของ จะได้มีเงินมาชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้น เพราะยังมีหนี้อื่นๆ เช่นหนี้นอกระบบที่เค้าไปขอยืมมา

เวลาร้านสุทธาศิริ โอนเงินเข้าบัญชี อ้นก็ถอนปุ๊บ ดังนั้นอ้นก็จะได้เงินไปใช้ตลอดเวลา ซึ่งเค้าเอาเงินไปใช้อะไรของเค้าไม่รู้ มากขนาดนั้น ทั้งที่เงินเดือนที่เราให้ก็ไม่ใช่น้อย หมื่นห้า คนจบปริญาตรี ยังไม่ได้เท่าเค้าเลย

เค้าเช่าหอพักอยู่ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง ค่ารถก็ไม่เสีย เสียแต่ค่าหอ ค่ากินอยู่ อย่างอ้อมพี่สาวเค้ายังเก็บเงินได้ แล้วตัวเค้าทำไมเงินไม่พอ ให้เท่านี้มันก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกแต่มันก็ไม่น้อยหรอก เค้าจะใช้จ่ายอะไรถ้าไม่ฟุ่มเฟือย”

แต่ที่ต้องออกมาให้ข่าวก็เพราะอยากให้เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์กับคนอื่น และต้องการนำภาพถ่ายของภาพเขียนที่หายไปมาเผยแพร่ออกไป เพื่อให้คนที่ได้ภาพเหล่านี้ไปครอบครองได้รู้ว่า ได้ไปโดยวิธีการที่ทางภรรยาและทายาทไม่ได้รู้เห็นและไม่ปรารถนา

“อย่าไว้ใจคนใกล้ตัว คนที่อยู่ในบ้านของเราเองนี่เหล่ะ ส่วนการที่เรานำภาพถ่ายที่หายไปมาเผยแพร่ เพื่อที่ว่าจะกระจายออกไปให้รู้ว่าภาพที่หายคือภาพอะไรบ้าง และหากภาพเหล่านี้อยู่ที่ใคร จงรู้ไว้ว่า คุณได้รับซื้อของโจรไป

การที่คุณเก็บเอากอดเอาไว้ มันถูกต้องหรือ ในเมื่อเราเก็บภาพเอาไว้เพื่อทำอีกสิ่งหนึ่ง”

“ใครดูถูกดูหมิ่นศิลปะ
อนารยะไร้สกุลสถุลสัตว์
ราวลิงค่างเสือสางกลางป่าชัฎ
ใจมืดจัดกว่าน้ำหมึกดำ
เพียงกินนอนสืบพันธ์นั้นฤๅ
ชื่อว่าสิ่งประเสริฐเลิศ (ล้ำ)
หยามยโสกักขะอธรรม
เหยียบย่ำทุกหย่อมหญ้าสาธารณ์
ภพหน้าอย่ามีรูปมนุษย์
จงผุดเกิดในร่างดิรัจฉาน
หน้าติดดินกินขี้เลื้อยคลาน
ทรมาณทุกข์ร้อนร้ายนิรันดร์เอย”


ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It