Art Eye View

ความฝันสีขาวดำ : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

แม้นในความฝัน ภาพที่ปรากฏนั้นยังกลายเป็นสีขาว-ดำ

ภาพดวงหน้าของใครหลายต่อหลายดวงที่ปรากฏ ก้มมองลงมายังฉันแล้วยิ้ม ดวงหน้าหลายดวงเหล่านั้นคือดวงหน้าของพี่ๆ ที่ฉันรู้จัก

ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งในนั้นที่เดินเข้ามาถามอะไรบางอย่างจากฉัน แล้วพลันสายลมแรงก็พัดเอาเสื้อของเธอเปิดถลกขึ้นไปตั้งแต่เอวจนถึงคอเสื้อ

ภาพลำตัวช่วงอกและเอวของเธอที่ปรากฏนั้นมันเป็นภาพขาว-ดำ และนั่นมันคือภาพในความฝันยามหลับของฉัน


ราวตีสองกว่าๆ ของคืนวันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยที่หัวใจ บนเตียงนอนนั้นฉันได้พยายามสูดลมหายใจลึกๆ แต่ดูเหมือนว่าสูดเท่าไรมันก็ไม่เต็มปอด ฉันจึงได้แต่นอนตะแคงลำตัวไปทางด้านซ้ายแล้วเอามือเกาะกุมที่หัวใจของตัวเองนิ่งๆ อยู่ในอาการเช่นนั้น

ความทรมานเกิดจากความเหนื่อย เป็นความเหนื่อยอย่างสาหัสสากรรจ์ ที่แล่นเข้าเกาะกุมอยู่แต่เฉพาะที่ตรงหัวใจ จนฉันไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นนั่ง หรือเปล่งคำพูดใดๆ ออกมาได้ มันเป็นอาการที่เริ่มเกิดขึ้นกับฉันเมิ่อในราวหกปีที่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาฉันก็ไม่เคยมีอาการเช่นนี้เลย รู้สึกตัวแต่ว่าเป็นคนที่เหนื่อยง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ

ใครเขาวิ่งออกกำลังกายกันสนุกสนานอย่างไร ฉันก็ไม่ชอบวิ่งกับเขา การออกกำลังกายสำหรับฉันที่ทำได้อย่างพออกพอใจนั่นคือการเดิน

ในขณะที่เกิดอาการเหนื่อย ในครั้งแรกนั้นเป็นเวลายาวนานร่วมสี่ถึงห้าวัน ที่บ้านของฉันนั้นเงียบกริบคนจากภายนอกมองเข้ามาอาจเห็นเป็นเรื่องปกติ

เพราะฉันมักจะอยู่แต่บนบ้านเงียบๆ เช่นนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ทว่าในเวลานั้นถ้าใครมีตาพิเศษที่สามารถมองเห็น ก็จะเห็นฉันนอนกุมหน้าอกข้างซ้ายหายใจด้วยความหอบเหนื่อย อยู่ที่พื้นบ้าน และหรือบางทีก็เอามือยันข้างฝาค่อยๆ พยุงตัวขึ้นอย่างช้าๆ แล้วยืนเหนื่อยหอบ ก่อนที่จะค่อยเคลื่อนตัวไปที่โทรศัพท์แล้วโทรออกไปบอกพ่อกับแม่ว่า

“ช่วยต้มข้าวต้มให้หน่อย องุ่นไม่ค่อยสบาย”

แล้วฉันก็ทรุดฮวบลงนอนหอบหายใจต่อ…ลมหายใจที่สูดทอดยาวเข้าออกในเวลานั้นมันช่างแสนมีคุณค่า มันมีค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ส่วนมือนั้นเล่าก็เกาะกุมอยู่แต่ที่ตรงหัวใจ ราวกับแสนจะรักและทะนุถนอมต่อมันอย่างเหลือล้น หัวใจดวงเดียวที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยของฉัน


คำภาวนาบริกรรมต่างๆ ถูกจิตใต้สำนึกปลุกปลอกดึงเอาขึ้นมาใช้เป็นระยะๆ พุทโธ..พุทโธ..พระเครื่องห้อยคอองค์เดียวของฉันก็ถูกเกาะกุมไว้แนบกับหน้าอก

โอหนอ….มันช่างเป็นวัตถุสิ่งเล็กๆ ที่แสนจะมีบุญคุณใหญ่หลวงกับผู้ที่ครอบครองเช่นฉัน

ฉันคิดและมันคงเคยมีบุญคุณต่อผู้ครอบครองคนอื่นๆ ที่เคยครอบครองวัตถุชิ้นนี้มาก่อนฉันด้วยเช่นกัน ก็ฉันนั้นทำราวกับว่า พระห้อยคอองค์น้อยที่อยู่ในอุ้งมือ จะมีอานุภาพแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังแสนจะเหน็ดเหนื่อยดวงนี้ของฉัน ให้มันกลับเป็นปกติลงได้อย่างนั้น

อาการเช่นนี้เกิดขึ้นกับฉันอยู่เนืองๆ ในขณะที่ฉันเป็นนั้น ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะเดินหรือนั่งได้ นับประสาอะไรกับที่ฉันจะพยุงตัวเพื่อขับรถไปหาหมอ และในใจส่วนลึกฉันก็เกลียดกลัวการกินยา กลัวว่าหากไปตรวจพบว่าเป็นอะไรแล้วต้องกินยาไปตลอดชีวิตเหมือนที่ฉันเห็นคนหลายๆ คนกิน ฉันเชื่อว่าการกินยาทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมลง

ดังนั้นภายในบ้านของฉันจึงไม่มียาใดๆ ในบ้านแม้แต่เพียงเม็ดเดียว ในเวลาที่ฉันเป็นไข้หวัด ฉันก็เพียงแต่เดินไปที่ต้นฟ้าทะลายโจร เด็ดใบของมันไปต้มหรือชงกับน้ำร้อนแล้วดื่มรวดลงไป เพียงเท่านั้น ดูเหมือนความขมของมันจะขับไล่ไข้หวัดเสียจนหมดสิ้นไม่เหลือหลอ

แต่อาการเหนื่อยที่หัวใจของฉันนี้ก็กลับปรากฏบ่อยครั้งขึ้น จนกระทั่งฉันได้ตัดสินใจไปหาหมอ ในเวลาที่อาการหายดีแล้วฉันจึงตัดสินใจพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา แต่ไม่ว่าจะตรวจอย่างไรทุกอย่างก็บอกผลออกมาเป็นปกติทั้งสิ้น จนฉันอ่อนใจและปล่อยให้มันเป็นไป เพียงแต่หลีกเลี่ยงการอดหลับอดนอนและระมัดระวังในการดื่มชากาแฟเท่านั้น

มาในครั้งหลังสุดนี้นี่เองที่ฉันตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำสระผมหลังจากที่นอนทรมานด้วยอาการเหนือ่ยหอบที่หัวใจอยู่สองวัน ฉันอดทนขับรถฝ่าสายฝนไปยังโรงพยาบาลแต่เช้า มันเป็นเช้าของวันหยุดราชการ และฉันจึงได้กลายเป็นคนไข้ฉุกเฉินไปในทันทีที่ฉันไปถึงโรงพยาบาล

หมอวัดความเต้นของหัวใจของฉันสูงถึง 159

ทางโรงพยาบาลบอกความจำเป็นต้องฉีดยาบางอย่างให้กับฉันอย่างเร่งด่วนเพื่อลดระดับการเต้นของหัวใจลงมา ฉันพยักหน้ารับคำพลางน้ำตาไหล

นี่ฉันทนอยู่กับอาการเฉียดตายโดยลำพังมาตั้งหลายปีแล้วหรือนี่

ในขณะเวลาที่แสนรวดเร็วนั้นทั้งสายน้ำเกลือ สายอ๊อกซิเจนเครื่องช่วยหายใจ และสายของเครื่องวัดการเต้นของหัวใจก็ถูกประเคนกันเข้ามาติดตั้งอยู่บนตัวฉันเพียงพริบตา ร่างกายของฉันมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด

ฉันถูกเข็นอยู่บนเปลนอน ที่เคลื่อนไหวไปทั้งทางตรงและทางเลี้ยว เสียงล้อรถนั้นกระทบพื้นดังตึ๋กตั่ก..ตึ่กตัก..ฉันรู้สึกถึงบุญคุณต่อมนุษย์ผู้ทำหน้าที่เป็นคนเข็นฉันจากตึกหนึ่งไปยังตึกหนึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นหน้าที่ของเขาหรือเธอซึ่งมันมีค่าตอบแทนเป็นเงิน

แต่ปฏิเสธมิได้เลยว่ามันช่างเป็นหน้าที่ที่มีแต่ความเอื้อเฟื้อและปราถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนมนุษย์ผุ้กำลังทุกข์ทนและเจ็บป่วย

เขาพาฉันมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง มีผู้ป่วยนอนกันอยู่เรียงราย รถเข็นที่เข็นฉันถูกเข็นไปเทียบกับเตียงที่ว่างเปล่าเตียงหนึ่งในห้องนั้น แล้วพนักงานและเหล่าพยาบาลก็บอกให้ฉันค่อยๆ กระถัดตัวไปที่เตียงๆ นั้น ฉันได้แต่นอนหลับตา ลมหายใจจากปลายจมูกที่มีท่อออกซิเจนใส่ไว้มันทำให้ฉันรู้สึกสบายขึ้น

ความเหนื่อยที่หัวใจของฉันมลายหายไปจนเกือบหมดด้วยยาที่ฉีดเข้าไปเข็มนั้น

ท่ามกลางสายน้ำเกลือที่กำลังหยดติ๋งๆ และเสียงปี๊ด..ปี๊ด ของเครื่องวัดหัวใจที่ติดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ฉันกลายเป็นหนึ่งในคนไข้เหล่านั้นที่กำลังนอนเรียงรายอยู่ บางเตียงมีเสียงร้องโอดครวญเบาๆ บางเตียงมีเสียงสะอึก บางเตียงส่งเสียงคุยแจ้วๆ ทั้งที่มีแผลหลายที่ตามร่างกาย

ฉันเกิดความคิดขึ้นมาในทันใดว่า พวกเราคือมนุษย์ที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งนั้น และแอบย้อนไปนึกถึงคนหลายต่อหลายคนที่ฉันรู้จักพบเห็นและสัมผัสว่ามันจะอะไรกันหนักหนา

เพราะที่แท้แล้วพวกเราคือเพื่อนมนุษย์ที่สุดแล้วแต่ก็มีความตายอันเป็นที่สุดไม่ต่างกัน


สองวันผ่านไปฉันได้รู้จากคุณหมอว่าฉันเป็นโรค “หัวใจเต้นผิดจังหวะ”

ในหัวใจของคนเรานั้นจะมีขั้วไฟฟ้าอยู่สองขั้วเพื่อเป็นตัวสอดประสานการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

แต่ในหัวใจของฉันนั้นดันมีขั้วไฟฟ้าเกินจากปกติมาหนึ่งขั้ว มันจึงทำให้การเต้นของหัวใจยุ่งเหยิงผิดจังหวะแปรปรวนไปหมดจนไม่สามารถรับคำสั่งให้ทำหน้าที่ตามปกติของหัวใจได้ และเมื่อใดที่มีอาการเกิดขึ้นมา นั่นก็คือในเวลาที่ฉันล้มป่วยด้วยอาการแสนเหนื่อยที่หัวใจนั่นเอง

คุณหมอบอกวิธีเรื่องการรักษาให้กับฉัน ฉันรับฟังและจะต้องไปดำเนินการต่อ

ฉันกลับมาบ้านด้วยอาการที่ยังไม่แข็งแรงนักเมื่อขึ้นมาบนบ้านก็เห็นบรรดาแมวๆ ที่ฉันเลี้ยงไว้หน้าตาดูเซื่องซึมหงอยเหงา แม้บ้านของฉันเองก็ยังดูเศร้าไปด้วยแค่ฉันป่วยไม่ได้อยู่บ้านแค่สองวันเท่านั้นเอง

ในหัวใจของฉันมันช่างคิดช่างรู้สึกและช่างเก็บงำ สิ่งต่างๆ ที่เผชิญมาทั้งชีวิตเอาไว้อย่างมากมาย หัวใจดวงน้อยๆ
ที่น่าสงสาร บ่อยครั้งที่มันร้องไห้ บ่อยครั้งที่มันหัวเราะ

ความขึ้นๆ ลงๆ ทางความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งเร้าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันเกิดอาการป่วย บวกกับการที่มีอวัยวะซึ่งมีความผิดปกมากับร่างกายตั้งแต่กำเนิดด้วยแล้ว…

ในคืนวันแรกที่ฉันกลับมานอนที่บ้าน คืนนั้นฉันได้รับโทรศัพท์จากทางผู้ใหญ่ที่ฉันเคารพและนับถือ บอกขอนัดทานข้าวและขอให้ฉันช่วยนำงานติดรถไปให้ดูด้วย ฉันรับปากโดยพลัน แม้ว่าจะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล และยังไม่รู้ว่าอาการป่วยของตัวเองจะกลับมาอีกหรือไม่

เช้าวันต่อมาฉันรีบแต่งตัวให้สดชื่นผัดแป้งแต่งผมจนไม่มีเค้าของคนป่วยหลงเหลือไปนั่งรอตามนัด แต่ฉันกลับต้องรอเก้อ ฉันสั่งอาหารมาทานเงียบๆ เพียงคนเดียว แล้วขับรถกลับบ้านอย่างง่ายดายเมื่อเลยเวลานัดไปมากแล้ว

น่าแปลกที่ฉันไม่มีความโกรธผุดขึ้นมาในใจแม้แต่น้อยนิด และแม้จะมีความประหลาดใจต่อเหตุการณ์ที่ตัวเองต้องประสบ แต่ฉันก็ไม่อยากคิดหาคำตอบใดๆ

ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเสียใจ

โอ..หรือนี่หัวใจของฉันมันจะตายด้านไปเสียแล้ว!!!

ฉันค่อยๆ ประคับประคองชิ้นงานออกจากรถนำขึ้นมามาเก็บไว้ในตู้ของรักดังเดิม ฉันยิ้มและมองงานอย่างดีใจ

“ฉันดีใจที่ไม่ต้องขายพวกเธอ”

ฉันคิดถึงดวงหน้าของเด็กชายหญิงสองคนที่มายืนเฝ้ายายที่กินยาพิษหวังปลิดชีพตัวเองหนีความจนและทุกข์ยากในชีวิต เธอนอนเตียงติดกับฉัน หมอช่วยเธอให้รอดพ้นจากความตาย

เด็กๆสองคนยืนมองยายที่ตัวเองเรียกว่า “แม่” ด้วยสายตาแห่งความบริสุทธิ์ เด็กผู้หญิงสวมสร้อยพระองค์เล็กๆ และเด็กผู้ชายบอกขออยากใส่บ้าง

หญิงผู้เป็นยายบอกกับเด็กน้อยจากบนเตียงว่า มีเส้นเดียวให้น้องใส่ก่อนนะลูก

ฉันควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าของฉัน ที่พอจะเกิดกำลังใจแก่พวกเขาฉันพบพระเครื่องรูปท้าวเวสสุวรรณองค์เล็กๆ สององค์ ที่ฉันได้มาจากการบริจาคเงินทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ฉันรีบหยิบมันขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้กับหญิงผู้ฆ่าตัวตายผู้นั้นแล้วบอกกับเธอว่า

“ฝากนี่ให้กับเด็กๆ นะ พวกเด็กๆ รักพี่นะ และอีกหน่อยเขาจะเป็นที่พึ่งของพี่นะ”

หญิงวัยกลางคนผุ้มีใบหน้าคล้ำดำกร้านผู้นั้นยิ้มกับฉันด้วยตาเป็นประกาย เธอกล่าวของคุณฉัน และฉันก็ออกจากโรงพยาบาลมา ในหัวใจของคนทุกคนนั้นมีทั้งทุกข์และสุข หัวใจบางดวงทุกข์จนเกลียดเคียดแค้นต่อการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนลืมไปว่าหัวใจดวงอื่นที่ยังคงอยู่นั้นจะเจ็บปวดรวดร้าวต่อการพลัดพรากจากกันสักเพียงไหน

ฉันต่อสายถึงพี่กำไล..เจ้าของโรงหล่อ ปลายสายบอกกับฉันมาว่า

“มีอะไรก็เอามาถอดพิมพ์ไว้ให้หมด..เอามาได้เลยนะ”
“ค่ะ” ฉันรับปาก
“อีกวันสองวันองุ่นจะไปหานะคะแต่งตัวสวยๆ ไปทานข้าวกัน” ฉันบอกเช่นนั้น

ฉันเริ่มคิดถึงการแสดงงานของตัวเอง นานมาแล้วฉันไม่ได้แสดงงาน และนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาฉันรู้สึกอยากทำงาน ฉันอยากมีงานเก็บไว้ให้มากๆและอยากมีงานแสดงของตัวเอง

“ปีหน้าฉันจะแสดงงาน”

พลังแห่งความกระตือรือล้น ที่ผูดขึ้นแซงจากอาการเฉียดตาย มันบอกกับฉันอย่างแน่วแน่

ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว

รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It