j[email protected]
คุยกันก่อน…
เวลาที่เราจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เช่น ต้องไปในสถานที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน เพียงลำพัง หรือต้องขึ้นพูดบนเวทีที่มีคนรอฟังอยู่เต็มไปหมด เป็นครั้งแรกในชีวิต คิดว่าเราทุกคน น่าจะตื่นเต้นและเกิดความกังวล เครียดพอสมควร..
อ้วนก็เกิดอาการตึงเครียดเหมือนกันค่ะ เห็นความกังวล เกร็งๆ ปนกลัวๆ กับงานชิ้นแรกที่ลงในเว็บฯ ผู้จัดการ ไม่รู้ว่าจะถูกใจและได้รับการตอบรับจากคุณผู้อ่านหรือเปล่า? แล้วเราจะต้องเขียนแนวไหนที่จะถูกใจ ? ดังนั้นอยากให้ติชมกันเข้ามาน่ะค่ะ และก็ขอเวลา ขอโอกาสให้อ้วนได้ปรับปรุงพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าดูอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ยินยอมให้นำขึ้นเมรุเผาได้เลยค่ะ
………..
หลายคนเคยรู้จัก อ้วน-อารีวรรณ จตุทอง มาก่อนแล้วบ้างจากข่าวสารในสื่อต่างๆ แต่บางคนก็อาจจะไม่รู้จักเลย หรือบางคนแค่คุ้นๆ ชื่อเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อการปูพื้นฐาน สร้างความเข้าใจร่วมกันว่า อ้วนเป็นใคร ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ เพื่อเราจะได้คุยกันอย่างออกรสได้ต่อๆ ไป..ดีไหมค่ะ ?
……….
อ้วนเป็นผู้หญิงที่ยอมถูกเรียกว่า “พี่” ได้อย่างเต็มใจ และรู้สึกดีกว่าถูกเรียกว่าน้า, อาหรือ ป้า เป็นไหนๆ ในเมื่อวัยเราปาเข้าไปสามสิบเจ็ดปีแล้ว
สามสิบเจ็ดปี โปรดทวนคำนี้สักสามตลบ แล้วจะเห็นความคิดบางอย่างโผล่ออกมาอย่างชัดเจนว่า “แก่จัง” บางคนบอกว่า ไม่ต้องสามตลบหรอกพี่ แค่รู้ปุ๊บก็เกิดความรู้สึกว่า “แก่” ขึ้นในใจทันทีเลยล่ะ
ดังนั้นขออนุญาตบ่นปนน้อยใจสักนิด กับคนที่มักจะรู้สึกแก่กับผู้หญิงมากกว่าแก่กับผู้ชาย ทั้งๆ ที่อายุเท่ากัน เอ้.. มันเป็นเพราะอะไร ทำไมต้องรู้สึกแบบนี้ ?
เป็นเพราะเวลาเรานึกภาพผู้หญิงวัยสามสิบกว่าๆ ในหัวตัวเอง มันเป็นภาพแม่ที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่ดูแลครอบครัว ดูแลลูกๆ หรือเปล่าค่ะ ส่วนภาพผู้ชายในวัยสามสิบกว่าๆ ก็คงประมาณผู้ชายที่ดูภูมิฐาน เป็นหลักเป็นแหล่ง มีความมั่นคง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การผลิตซ้ำทางความทรงจำแบบนี้ ทำให้เกิดความคิดแบบนั้น..ใช่ไหม ?
แล้วถ้าเราเปลี่ยนภาพผู้หญิงในหัวเสียใหม่ เป็น หน่อย-บุษกร, มาช่า, แบม, หมิว, แหม่ม แคทฯ หรือคนอื่นๆ จะช่วยให้ภาพผู้หญิงวัยสามสิบกว่า ดูดีขึ้นบ้างไหมค่ะ
โดยส่วนตัว อ้วนเป็นคนที่ยอมรับความแก่ของตัวเองได้เสมอ เพราะสุดท้ายเราทุกคน ก็ต้องแก่ เจ็บและตาย ไม่มีใครหนีพ้นสัจธรรมข้อนี้ไปได้ สักวันหนึ่งคุณก็ต้องเดินทางมาถึงช่วงเวลานี้เหมือนกัน ดังนั้นอย่าเป็นคนที่ลืมมองตัวเองเลยน่ะค่ะ แม้ว่าเราจะใช้ตาของเราไว้มองคนอื่นมากกว่ามองตัวเองก็ตาม
ผู้หญิงในวัยขนาดนี้สมควรแต่งงานหรือยัง ? ถ้าตั้งคำถามแบบนี้ ก็คงโดนตอบกลับมาว่า ข้างบ้านเค้าลูกสองลูกสามกันไปแล้วล่ะพี่..ไปอยู่ไหนมา ถ้าอายุขนาดนี้ยังไม่แต่งงาน..ก็ไม่มีใครเค้าเอาแล้วล่ะ เพราะหมดวัยเจริญพันธุ์
เฮ้อ จะมีใครเข้าใจความรู้สึกของอ้วนไหมค่ะ ? เวลาโดนคำถามว่า ทำไม ? ยังไม่แต่งงาน(ใหม่)อีก ก็อยากให้เข้าใจว่าที่อยู่คนเดียวมาจนป่านนี้ ก็เพราะชีวิตเราเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วเมื่อสิบสามปีก่อน
ถ้าชีวิตคู่ในครั้งนั้นราบรื่น อ้วนก็คงจะมีลูกโตขนาดเรียนชั้นประถมไปแล้วล่ะค่ะ แต่เผอิญว่า อ้วนมีชีวิตคู่ที่..แย่มากๆ แบบที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม? ชีวิตเราถึงได้เจอะเจอเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ด้วย
ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันหกเจ็ดเดือน หนึ่งวันก็เปรียบคล้ายตกในนรกหนึ่งปี ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความหวาดผวาว่าวันนี้จะโดนทำร้ายแบบไหน? จะหลับตานอนแต่ละคืน ก็ไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนหลับอย่างมีความสุขไหม
แต่ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องราวเหล่านี้ก็ผ่านพ้นไปนานเป็นสิบปีแล้ว ถ้าเรารักตัวเองจริงๆ เราก็ไม่ควรจะไปรื้อฟื้นเรื่องราวแย่ๆ เหล่านั้นมาให้ใจเราต้องเจ็บปวดใช่ไหมค่ะ อยู่กับปัจจุบันที่เป็นสุขดีกว่า แค่คิดว่าเราสามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่แย่ขนาดนั้นมาได้ ชีวิตทุกวันนี้ย่อมดีกว่าอดีตในวันนั้นเสมอ
หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นมาได้ อ้วนก็หันมาเรียนเพิ่มเติมด้านกฎหมายจนจบปริญญาตรีและโท สาขานิติศาสตร์ ฝึกอบรมและสอบใบอนุญาตเป็นทนายความ เรียนเนติฯ และมีโครงการเรียนต่อปริญญาเอกในปีหน้า
ส่วนงานก็ทำมาหลากหลาย ตั้งแต่นักข่าวในนิตยสาร “ชีวิตต้องสู้” อยู่ 7 ปีเต็ม เป็นพิธีกร นักแสดง คอลัมน์นิสต์ในนิตยสารต่างๆ เป็นทนายความ วิทยากรในประเด็นสิทธิสตรี ปัจจุบันอ้วนเป็นฝ่ายวิชาการและกฎหมายให้กับองค์กรที่ทำงานให้ภาคสังคม มีหน้าที่ให้ความรู้ด้านกฎหมายกับภาคประชาชนในเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
นอกจากนี้ ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น กรรมการฝ่ายกฎหมายและสถานภาพสตรี สภาสตรีแห่งชาติฯ, กรรมการอำนวยการเลือกตั้ง สภาทนายความ, เป็นเครือข่ายของมูลนิธิเพื่อนหญิง เป็นผู้รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและบุคคลในครอบครัว เป็นทนายอาสารับฟังการสอบสวน เป็นวิทยากรอบรมพัฒนาศักยภาพสตรีในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และอื่นๆ ดังนั้นหากต้องเพิ่มงานดูแลแฟนหรือสามี คงจะไม่มีเวลาพอที่ทำหน้าที่นี้ได้ดี
และการที่เราเคยมีประสบการณ์ชีวิตคู่ที่แย่ขนาดนั้น แถมเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศขนาดนี้..จะให้อ้วนหาผู้ชายที่ดีแสนดี ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เจ้าชู้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ หน้าตาดี ไม่เล่นการพนัน ยอมรับเรื่องราวในอดีตของเราได้ เข้าใจในตัวตนความเป็นเรา เคารพสิทธิความเสมอภาคหญิงชาย ฯลฯ และที่สำคัญต้องมีศีล 5 เหมือนอ้วน..ได้ที่ไหนกันค่ะ
ทุกวันนี้ อ้วนก็มีความสุขดีกับชีวิต จิตใจที่เป็นอิสระ ไม่ต้องกังวลกับความเจ้าชู้ของผู้ชายคนไหน และมีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ในหลายอย่างหลายบทบาทที่กล่าวมา ที่สำคัญคือ มีเวลาดูแลคุณแม่ คุณพ่อ พี่สาว กับหมาอีกสองตัว
อ้วนเป็นคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองเสมอ คำถามที่ถามตัวเองบ่อยที่สุด คือ เราเกิดมาทำไม ? และอะไรคือคำตอบของชีวิตเรา ? หากเรารู้สึกตัวว่า เราเกิดมาเพื่อแม่ เพื่อคนอื่นๆ ในสังคม หรือเพื่อมาทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราก็ได้คำตอบและมีเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้นวันไหนที่เราเริ่ม 'งง' 'สับสน' กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต ก็ลองตั้งคำถามแบบนี้ดูบ้างน่ะค่ะ คิดว่าน่าจะช่วยได้ค่ะ
สุดท้ายนี้ ก็ขอฝากคำพูดของ ท่านอาจารย์ณรงค์ศักดิ์ เนียมนัด อาจารย์ผู้สอนธรรมะดีๆ ให้กับลูกศิษย์ชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม ที่ว่า
“ อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา
อย่าปล่อยให้แก่ชราแล้วตายไปเปล่า
อย่ามัวตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่
ให้คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาตนเอง และทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ”
(พบกับผู้หญิงคนนี้ได้ใน “คุยออกรสกับอ้วน อารีวรรณ” ณ พื้นที่ตรงนี้ ทุกต้นสัปดาห์ค่ะ)
Comments are closed.