“ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส” นักธุรกิจด้านพลังงานโซลาร์รูฟกำลังเป็นที่จับตามอง หลังจากดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดบริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี้ พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS บริษัทด้านพลังงานทางเลือกชั้นนำของประเทศไทย แถมยังมุ่งทำงานตอบแทนสังคมโดยใช้พลังงานเชื่อมความสัมพันธ์กับชุมชน
“ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส” หรือ ปุ๊น อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม บางกะปิ-วังทองหลาง ที่เป็นทั้งนักธุรกิจระดับผู้บริหาร อดีตนักแต่งเพลง และอดีตศิลปินค่ายอาร์เอสคุณภาพคับแก้ว โดยล่าสุดได้รับความไว้วางใจจากผู้ถือหุ้น ให้นั่งตำแหน่งประธานบอร์ดบริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี้ พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด ด้านพลังงานทางเลือกชั้นนำ โดยเขาได้เปิดใจว่า เติบโตมากับธุรกิจกระดาษ ครอบครัวทำกระดาษสื่อสิ่งพิมพ์ อย่าง หนังสือพิมพ์ พ็อกเกตบุ๊ก และนิตยสาร ตั้งแต่เด็กๆ ก็วิ่งเล่นอยู่ในบริษัทกระดาษมาจนโต หลังเรียนจบได้ออกซิงเกิลเป็นศิลปินกับค่ายอาร์เอส จากนั้นรับไม้ต่อธุรกิจที่บ้านมาบริหารบริษัทกระดาษ เริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานขายจนถึงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยสามารถทำยอดขายให้บริษัทได้กว่า 100 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียงปีครึ่ง ตั้งแต่อายุ 23 ปี
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อที่บ้านมีแนวคิดขยายธุรกิจสู่พลังงานทางเลือก โดยพ่อของเขาได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้านมาบริหารไว้ก่อนแล้ว ล่าสุด ทางบอร์ดบริหารมีมติเชิญให้ตรีรัตน์ขึ้นนั่งตำแหน่งประธานบอร์ดบริหาร NEPS โดยหวังว่าจะใช้ความรู้ความสามารถด้านการสื่อสาร ต่อยอดให้ธุรกิจโซลาร์จากพลังงานทางเลือก สู่พลังงานหลักของประเทศไทย พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานที่สะอาดกว่า ในราคาที่ถูกกว่า จับต้องได้ ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ ที่เน้นการ Work From Home ซึ่งผู้คนต่างต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น แต่ไม่มีทางเลือกในการประหยัดไฟ และต้องซื้อไฟฟ้าในราคาที่แพงจากภาครัฐ
เมื่อกระโดดเข้ามาจับธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกอย่างเต็มตัวแล้ว ตรีรัตน์ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนว่า ระยะสั้นจะเน้นไปที่การติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ โดยเฉพาะ โรงเรียน จากนั้นได้เริ่มติดตั้งระบบแห่งแรกที่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ และล่าสุดที่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี (Shrewsbury International School) ซึ่งช่วยให้โรงเรียนสามารถนำค่าใช้จ่ายที่ประหยัดค่าไฟ มาเพิ่มเป็นอาคารเรียน อุปกรณ์ ตำราเรียน หรือการจ้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้มากขึ้น นอกจากนั้น ยังเน้นไปที่โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตีมอลล์ โชว์รูมต่างๆ และกลุ่มบ้านพักอาศัย เป็นต้น
ทั้งนี้ เขาได้ตั้งเป้ายอดขายในปี 2564 ไว้ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งสามารถทำยอดได้กว่า 200 ล้านบาทแล้ว หลังจากเข้ามาทำงานเป็นที่ปรึกษาเพียง 4 เดือน และเมื่อเข้ามาบริหารเต็มตัวจึงได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 เพื่อสอดรับการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง
นอกจากนี้ เขายังมีโครงการโซลาร์เซลล์ให้หมู่บ้านในแหล่งทุรกันดาร เพื่อเป็นโปรเจกต์ CSR ของบริษัท ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตพลังงานก็อยากผลิตไฟฟ้าให้กับหมู่บ้านที่ไฟยังเข้าไม่ถึง รวมถึงวัดวาอารามให้ได้ใช้ฟรี เพื่อคืนกำไรสู่สังคม
“พลังงานเกี่ยวข้องกับเราทุกส่วนในชีวิตประจำวัน การมีพลังงานทางเลือกที่ถูกลง ย่อมส่งผลให้ความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติดีขึ้น หากคุณตั้งใจทำงาน คุณก็สามารถช่วยประเทศไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกธุรกิจที่คุณทำ”
นี่คือแรงบันดาลใจที่นักบริหารหนุ่มอยากให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน เขายังคงให้ทีมงานลงพื้นที่รับฟังปัญหาและช่วยเหลือประชาชนทั้ง 7 วัน โดยเจ้าตัวใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ลงพื้นที่บางกะปิ วังทองหลาง ทั้งการนำถุงกักตัว ที่มีข้าวสาร อาหารแห้ง ไปมอบให้ผู้ที่ต้องกักตัวที่บ้าน ช่วยผู้ที่ตกงานได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตั้งใจช่วยคนในพื้นที่ต่างๆ
“เมื่อไปสัมผัสน้ำตาชาวบ้าน เราให้คำมั่นสัญญากับเขาไว้ ไม่สามารถทิ้งไปได้ เชื่อว่าทุกคนจะเห็นความตั้งใจของผม ซึ่งทำงานด้านสังคมด้วยใจ โดยไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงเหมือนนักการเมือง ทำให้ผมเมื่อกลับถึงบ้านไปแล้วนอนหลับสบายทุกคืน เนื่องจากผมเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือประชาชน วันนี้เป็นบทพิสูจน์ว่า วันที่เรามีทุกข์ วันนั้นคุณออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้เท่าไหร่ คุณก็จะมีความสุขเหมือนอย่างที่ผมมี” นักบริหารไฟแรงกล่าวทิ้งท้าย
Comments are closed.