Celeb Online

คนดังเจอน้ำท่วมมาแล้ว! ถ้าเลือกได้ไม่ขอเจอซ้ำอีก


ด้วยสถานการณ์ “น้ำมาก” ที่หลายจังหวัดกำลังประสบอยู่ ทำเอาบรรดาเซเลบทั้งหลายที่เคยผ่านประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 มาแล้ว ต้องย้อนนึกถึงวิบากกรรมอุทกภัยเมื่อคราวนั้น ที่ต่างเป็นผู้ประสบภัย จะมีใครพบเจอกับปัญหาแบบไหน แก้ปัญหาอย่างไร และได้รับบทเรียนอะไรกันบ้าง เผื่อจะได้นำเอาคำแนะนำเหล่านั้น มาเตรียมรับมือกับน้ำที่กำลังสูงขึ้นในตอนนี้


เริ่มจาก “พั้นช์–ภัคญดา ชุติดนัยกุล” ดีไซเนอร์สาวสวยที่เรียกได้ว่าผูกพันกับน้ำ เพราะบ้านที่เธอเกิดและเติบโต อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยามาก มีคลองที่เชื่อมมาจากแม่น้ำอยู่ติดบ้าน เมื่อปี 2554 ก็โดนน้ำท่วมสูงเข้าตัวบ้าน ข้าวของเสียหายไปไม่น้อย โดยเธอย้อนเรื่องราวในอดีตให้ฟังว่า “จำได้ว่าวันที่น้ำท่วมเข้าบ้าน พั้นช์กับครอบครัวออกไปทำธุระพอดี มีแค่พี่เลี้ยงที่อยู่คนเดียว ข้าวของก็เลยเสียหายเยอะ เพราะเก็บของไม่ทัน แถมพอน้ำท่วมปลั๊กไฟ ทำให้ไฟรั่ว พี่เลี้ยงโดนไฟช็อตด้วย โชคดีที่คนข้างบ้านมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

จากวันนั้นก็ได้แค่เข้าไปเก็บของสำคัญ แล้วก็อพยพมาอยู่โรงแรมกลางเมืองเลย และไม่ได้กลับเข้าบ้านไปอีกเกือบ 2 เดือนกว่าน้ำจะลด พวกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหมด แล้วก็ต้องซ่อมรีโนเวทบ้านเป็นการใหญ่ ถึงทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมนะคะ เพราะเป็นบ้านเก่าที่อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า และมีญาติๆ อยู่รายล้อมกัน คงไม่ย้ายไปไหน ก็ต้องพยายามรับมือกับปัญหาน้ำท่วมกันไป อย่างบริเวณริมคลองทางการเขาก็มีการทำเขื่อนกั้นช่วย แล้วก็มีเครื่องปั๊มคอยช่วยระบายน้ำ

แต่ที่บ้านเองก็ไม่ประมาท ก็พยายามช่วยเหลือตัวเองด้วย อย่างแรกเลยคือ ตอนซ่อมบ้านเราได้ย้ายปลั๊กที่ในอดีตจะอยู่ใกล้ๆ พื้น เอาขึ้นมาอยู่สูงเป็นเมตรเลย เพราะกลัวเรื่องไฟฟ้าช็อต แล้วก็พวกของสำคัญอะไรเราเก็บไว้ที่สูงเลย อย่างตอนนี้ที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูง เราก็เก็บของใช้ต่างๆ ที่กลัวจะเสียหายใส่กล่องพลาสติกไว้ เตรียมพร้อมก่อน ถ้าน้ำมาก็ยกเก็บได้ทันท่วงที” เรียกได้ว่านำบทเรียนในอดีตมาเตรียมรับมือไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำรอยอีก


ด้าน “อ๊าร์ต–หม่อมหลวงอภิชิต วุฒิชัย” ได้ย้อนภาพความทรงจำเกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ที่เขาได้ไปประสบกับตัวเองให้ฟังว่า “บ้านที่กรุงเทพฯ อยู่แถว ใจกลางสุขุมวิท แม้ไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่ตอนนั้นทำโรงแรมเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ซึ่งมีเรือสปีดโบ๊ตเอาไว้ให้แขกได้ท่องเที่ยวดูทัศนียภาพบริเวณแถวนั้น พอน้ำเริ่มท่วม น้ำในแม่น้ำเยอะมาก ก็เลยตัดสินใจขนย้ายเรือเอามาเก็บไว้ที่บ้านในกรุงเทพฯ ก่อน เพราะกลัวว่าถ้าน้ำท่วมสูงแล้วเรืออาจจะเสียหาย หรือลอยหายไปได้ จากนั้นก็เริ่มได้ยินข่าวเรื่องน้ำท่วมหนักขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ได้โพสต์ลงใน FB ว่า “ผมมีเรือนะ ใครต้องการความช่วยเหลือติดต่อมาได้” ก็มีคนที่เขามีโรงงานอยู่บางปะหัน อยุธยา ติดต่อเข้ามา ผมก็เลยตัดสินใจเดินทางเอาเรือไปช่วย แล้วก็ชวนเพื่อน (และญาติ) ซึ่งเป็นนักถ่ายทำสารคดี ขอตามไปเก็บภาพด้วย


พอเราได้ไปสัมผัสถึงคนที่เขาประสบภัยจริงๆ เห็นน้ำสูงแบบมิดหลังคา ความเป็นอยู่ลำบากมาก จะเห็นก็มีแต่ทหารที่ลงพื้นที่ ก็เลยกลับมารวบรวมสมัครพรรคพวก เข้าไปช่วยกัน ใครมีกำลัง มีทุนทรัพย์ เชี่ยวชาญด้านไหน ก็ออกมาช่วยกัน บางคนมีเรือท้องแบนก็ยกให้เอาไปใช้งาน ช่วยคนแถบอยุธยาไล่ยาวมาถึงสะพานใหม่-ดอนเมือง อยู่ร่วม 2 เดือน แล้วก็ย้ายมาช่วยฝั่งปราจีนฯ (ลืมไปว่าพื้นที่ชุมชนที่ใกล้กับบ้านเราก็ท่วมหนัก) ซึ่งเขาก็โดนน้ำท่วมสูงมานานเป็นเดือนแล้วเช่นกัน


จำได้ว่าตอนนั้นขับเรือเข้าไปช่วยเกือบทุกหมู่บ้านในตำบลเลย ได้เอาของยังชีพ อาหารแห้ง ยาต่างๆ เข้าไปให้ แล้วก็ทำให้เราได้เห็นว่า วิถีการดำเนินชีวิตของคนกรุงกับคนต่างจังหวัดในการปรับตัวอยู่กับน้ำ มันต่างกันมากจริงๆ คนแถวปราจีนฯ คือท่วมมาเป็นเดือนเหมือนกัน แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตกันได้ อยู่กับธรรมชาติได้ เด็กๆ ว่ายน้ำเล่น ผู้ใหญ่หาปลา แถมยังมีข้าวทะลึ่งน้ำให้กินอีก


ได้ไปเห็นบ้านหนึ่งที่เขาทำบ้านบนโคกสูง น้ำท่วมไม่ถึง ซึ่งใช้พื้นที่ไม่เยอะเลยนะ น่าจะประมาณครึ่งไร่เอง แต่ช่วยได้ทั้งหมู่บ้านทั้งคน วัว ควาย ต่างก็เอาชีวิตมาฝากไว้บนพื้นที่แห้ง เป็นศูนย์กลางยามทุกข์ ยามวิกฤต เลยทำให้เราเห็นว่า โคก หนอง นา มันทำได้จริง ได้ผลจริง ทำให้เราอยู่กับภัยธรรมชาติแบบนี้ได้ อยู่รอดได้


พอตอนหลัง เราได้ที่ดินมาอีกผืนมาสร้างเป็นบ้านพักส่วนตัวชื่อ “บ้านสวรรคโลก” ทำให้เรานำเอาไอเดีย โคก หนอง นา นี้มาปรับใช้ ได้รับความกรุณาจากทีมอาจารย์ยักษ์ (ดร. วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ใช้ศาสตร์พระราชาในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับเรา เข้ามาช่วยวางแปลนให้ เพียงแค่ผมไม่มีนา เพราะเราไม่ถนัด และคิดว่าไม่น่าจะทำได้ แถมรอบข้างเราก็มีแต่คนทำนาปลูกข้าวเต็มไปหมด อย่างไรก็ไม่ต้องกลัวไม่มีข้าวกิน ผมเลยเน้นพวกปลูกต้นไม้ ปลูกพืชผักสวนครัวให้มาก แล้วก็เลี้ยงปลาเลี้ยงไก่แทน


ซึ่งปีนี้ถึงน้ำจะมาก แต่เราก็ไม่ต้องห่วง ยังอยู่ได้แบบสบาย ตัวอาคารเราอยู่บนโคกสูง ไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำท่วมเสียหาย ในพื้นที่มีพืชพันธุ์มากมาย มีผัก ผลไม้ให้รับประทาน แถมยังเลี้ยงไก่ มีไข่กิน สามารถอยู่กับธรรมชาติได้ อยู่แบบพอเพียงในแบบของเราได้ โดยไม่ต้องรอขอความช่วยเหลือจากใครครับ”


อีกหนึ่งผู้ประสบภัยที่ก็โดนหนักหนาเช่นกัน “ติ๊ก–อภิภาวดี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ที่เคยแชร์ประสบการณ์ให้ฟังถึงเหตุการณ์บ้านโดนน้ำท่วม ที่ต้องหอบลูกลุยน้ำสูงระดับอกอพยพออกมา เพราะน้ำมาเร็วมาก จนเธอไม่มีเวลาเก็บของ หรือเตรียมการอพยพออกมาได้ทัน ทั้งบ้านและรถต้องปล่อยทิ้งจมน้ำ คือด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงน้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมสูงถึงเอว โดยไม่มีการประกาศเตือนหรือสัญญาณใดๆ เตือนล่วงหน้า ทำให้ไม่ได้เตรียมเก็บข้าวของ หรือนำรถไปจอดไว้ในที่สูงก่อน ซึ่งจากประสบการณ์ตรงเธอแนะนำให้เตรียมการล่วงหน้า อย่าประมาท เก็บของสำคัญให้ดี และถ้าน้ำท่วมบ้านแล้ว ถ้าสามารถอพยพไปอยู่ที่อื่นได้ให้รีบไป เพราะน้ำท่วมไม่ใช่มีแค่น้ำ แต่น้ำขังเน่า เหม็น แถมมียุง และสัตว์ต่างๆ ที่มากับน้ำอีกด้วย ดังนั้น ถ้าออกได้ควรรีบออกไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งคอยรอรับการช่วยเหลือทีหลัง


ปิดท้ายกันที่เซเลบสาวคนเก่ง “เฟย์–อรชุมา ดุรงค์เดช” ที่มีบ้านหลังสวยในหมู่บ้านหรูย่านวิภาวดีของเธอ ก็หนีไม่พ้นประสบการณ์น้ำท่วมเช่นกัน ถึงแม้น้ำจะไม่ได้เข้าตัวบ้าน เพราะทำไว้ค่อนข้างสูง แต่พื้นที่โดยรอบที่กลายเป็นเวิ้งน้ำกว้าง ก็ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากไม่น้อย และต้องทำการย้ายรถหรู รถสปอร์ต ที่ล้วนเตี้ย เสี่ยงอันตรายต่อน้ำท่วม ย้ายไปจอดที่อื่น พอมารอบนี้เธอเล่าให้ฟังว่า “จากที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว ตอนนี้ก็เห็นทางหมู่บ้านเขาก็เตรียมการรับมืออย่างดีนะคะ มีการนำกระสอบทรายมากองเผื่อไว้แล้ว และก็มีแผนการรับมือเตรียมพร้อมไว้ ส่วนตัวเฟย์เองเตรียมดูสถานการณ์ก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดี อันดับแรกเลยคือ พวกรถสปอร์ตจะย้ายไปจอดไว้ที่คอนโดฯ ในเมืองก่อนเลย เรื่องนี้สำคัญสุด เพราะถ้าน้ำมาข้าวของอื่นๆ ยังเก็บ ยังหาทางขนออกมาได้ แต่เรื่องรถนี่ลำบากสุด จะเคลื่อนย้ายก็ยากและแต่ละคันก็มูลค่าสูง ถ้าโดนท่วมขึ้นมาเสียหายเยอะแน่นอนค่ะ”