Art Eye View

บ้านสุด, หญิงสาวดินเผา และดอกหญ้า : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ท่ามกลางต้นตองตึงน้อยใหญ่และเกลียวเถาวัลย์พันเกี่ยวอยู่บนต้นไม้ป่า ณ ที่ดินบนดอยแห่งนั้น
ความฝันของฉันค่อยๆ ก่อเกิด

ก่อนที่เราจะได้ทำการย้ายไปปักหลักอยู่ เพื่อสร้างบ้านของเรา ในขณะกลางคืนที่ฉันนอนหลับพักผ่อนและได้ฝันเห็นเด็กผู้ชายไม่สวมเสื้อ แต่กลับใส่สายสร้อยและมีพระห้อยคออยู่บนสายสร้อยนั้นมากมายทั้งองค์น้อยองค์ใหญ่ เมื่อตื่นขึ้นมาฉันนั่งรำลึกถึงความฝันอันน่าพิศวงนั้น และแปลความหมายเอาเองต่อความฝันนั้นว่า นั่นคือฝันอันเป็นการบอกเหตุที่ดีที่กำลังจะมีขึ้นในชีวิต และแม้ความฝันจะเป็นเรื่องที่หาเหตุผลอันแน่นอนใดๆ ไม่ได้ แต่สำหรับฉันแล้ว ความฝันนี้กลับช่วยส่งเสริมให้ฉันเกิดความรู้สึกเชื่อมั่น ในการย้ายออกไปอยู่ยังที่ดินแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง



เราช่วยกันเสาะหาไม้เพื่อมาทำการสร้างบ้าน และในที่สุดเพียงเวลาไม่นานเราก็ได้ซื้อไม้มาจากการรื้อบ้านที่อยู่มาตั้งแต่สาวจนถึงวัยชราของแม่อุ๊ยคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุแก่มากแล้วและต้องการขายบ้านที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตนั้น เพราะความแก่ชราและเดินขึ้นบันไดบ้านของตนเองไม่ไหวอีกต่อไป

คนทางภาคเหนือกล่าวเรียกลักษณะของบ้านซึ่งเจ้าของได้เคยอยู่มาตั้งแต่สร้างครอบครัวจนถึงวัยชราและไม่มีลูกหลานอยู่ต่อว่า “บ้านสุด”

น่าจะหมายถึง สุดท้าย เต็มที่แล้ว ไม่เจริญงอกงามได้อีกแล้ว…ในความเชื่อเช่นนี้นี่เองที่ทำให้ “บ้านสุด” หรือไม้ที่รื้อจาก บ้านสุด นั้นไม่เป็นที่นิยมในการนำมาปลูกสร้างบ้านเรือน ในการเริ่มชีวิตใหม่กันแต่อย่างใด..

นั่นเป็นเกร็ดความรู้ที่ฉันได้รับฟังเมื่อได้ยินคำว่า “บ้านสุด” ในตอนที่เราไปหาซื้อไม้..นั่นเอง

แต่สำหรับฉันแล้วฉันกลับไม่ได้รู้สึกกลัวในความเชื่อเช่นนั้นแต่อย่างใด ฉันกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับการได้พบไม้ที่จะนำมาปลูกบ้าน..

เราได้จ่ายเงินไปในการซื้อไม้ทั้งหมดนั้นมาในราคาสามหมื่นบาท

และเราได้หาช่างมาปลูกบ้านให้กับเราในทันใด เพียงระยะเวลาไม่นาน บ้านไม้ใต้ถุนสูงมุงหลังคากระเบื้องดินขอและห้องทำงานชั้นเดียวอันปุปะ กับห้องน้ำซึ่งไม่มีหลังคา จึงได้ก่อสร้างเสร็จขึ้นมาบนพื้นที่ดอยเล็กๆ แห่งนั้น..

แม้จะยังไม่มีน้ำประปาและยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่เรามีน้ำจากลำห้วยเล็กๆ ที่แตกสาขามาจากน้ำตกแม่สา ซึ่งไหลผ่านข้างที่ดินให้ได้อาบและใช้ เราใช้แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันเพื่อส่องแสงในเวลากลางคืน กับความรู้สึกของการที่ได้ มีบ้านเป็นของตัวเองและการได้อยู่อย่างเป็นตัวของตัวเอง เพียงเท่านี้ ที่นี่ก็เป็นสวรรค์ในความรู้สึกของฉันแล้ว

เพื่อนใจของฉันก็ดูจะมีความพอใจมิใช่น้อย เขาค่อยๆ ก่อร่างสร้างเตาเผางานอันเป็นเตาเผาแบบโบราณขึ้นมาไว้ที่หน้าบ้าน แม้เราจะย้ายออกมาอยู่ไกลออกจากแหล่งดินเหนียวที่ใช้ปั้นงาน เขาก็ได้ซื้อดินเหนียวชนิดแห้งที่ป่นเป็นผงละเอียด พร้อมที่จะใช้งานเอามาเก็บตุนไว้ในการทำงานปั้นได้อย่างไม่ให้ขาดมือ…

บนบ้านของเรานั้นโล่งว่าง เราไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของเครื่องใช้อันใดมากเกินไปกว่าเสื้อผ้าที่เราใช้สวมใส่กันอย่างพอเพียง รวมถึงเสื่อและมุ้งสำหรับหลับนอนเท่านั้น

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉันที่สุดในเวลานั้นคือ “งู” เพราะในขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่และละสายตาผ่านนอกหน้าต่างไปพบกิ้งก่าตัวสีฟ้าสดสวยตัวหนึ่งและกำลังนั่งมองสีอันสวยงามของมันอยู่เพลินๆ นั่นเอง ก็ปรากฏมีงูซึ่งซุ่มอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ กันนั้นได้พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็วและโฉบงับกิ้งก่าตัวนั้น ต่อหน้าต่อตาฉัน

และในขณะที่ฉันเดินๆ อยู่ที่พื้นดินอันเป็นป่าหญ้าในบริเวณทั่วไปของพื้นที่ชั้นล่างของตัวบ้าน ในขณะกำลังก้าวเท้าลงไปนั้นก็เกือบที่จะเหยียบลงไปบนลำตัวของงูที่กำลังเลื้อยอยู่ข้างหน้า อย่างน่าตกใจ

ไม่เว้นแม้กระทั่งบนบ้าน ซึ่งเราก็พบงูเขียวตัวโตกำลังนอนขดอยู่บนหัวเสา มันช่างน่ากลัวเสียจริง
กับงูเหล่านี้ แต่ก่อนแต่ไรที่นี่นั้นเป็นป่าและคงเป็นที่อยู่ดั้งเดิมของเขา

ฉันคิด..อย่างไรก็ตามเราก็ไม่เคยทำร้ายหรือทำลายชีวิตของงูเหล่านั้นเลยแม้เพียงตัวเดียว ฉันหาทางออกด้วยการถือไม้หนึ่งอันเพื่อเคาะนำทางในขณะที่ฉันเดินไปไหนๆ และโดยเฉพาะเวลาเข้านอนตอนกลางคืน ฉันจะระมัดระวังและกันมุ้งอย่างแน่นหนา เพื่อที่จะให้เกิดความมั่นใจได้ว่า จะไม่มีสัตว์ร้ายใดๆ เข้ามาในที่นอนของเรา

เราจอดรถไว้ที่ใต้ถุนบ้าน รถเก๋งคันเดียวของฉันที่เป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวที่ติดตัวมา ด้วยความช่วยเหลือของพี่สาวผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นผู้ซื้องานของเพื่อนใจของฉัน ได้เมตตาอนุเคราะห์เงินก้อนหนึ่งให้จ่ายเป็นราคาของรถซึ่งฉันจะต้องผ่อนส่งต่อเมื่อลาออกจากธนาคาร โดยไม่ได้รับสิทธิในเงินกู้ดังเช่นเมื่อครั้งเป็นพนักงานอีกต่อไป

ฉันนำเงินก้อนนั้นไปจ่ายค่าราคาของรถกับธนาคาร ทำให้ฉันออกจากธนาคารโดยไม่มีภาระหนี้สิน และสามารถมีรถยนต์ใช้อย่างสะดวกสบายด้วยความเกื้อหนุนจากพี่สาวผู้มีบุญคุณท่านหนึ่ง..ท่านนั้น

ส่วนรถปิ๊กอัพสีแดงคันเก่าคร่ำของเพื่อนใจของฉันนั้นก็ได้จอดไว้เคียงข้างกันนั่นเอง


การทำงานในระยะแรกๆของฉัน เมื่อย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่นั้น ฉันมักจะคิดฝันถึงหญิงสาวผู้กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดอกหญ้า เพราะรอบบ้านของเรานั้นนอกเหนือไปจากต้นตองตึงและเถาวัลย์พันเกี่ยวแล้ว ดอกหญ้า..เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ประดับบนอยู่ผืนดินรอบๆ บ้าน

ดอกหญ้านั้นช่างดูอ่อนโยน…ฉันชอบอาการของดอกหญ้าในยามที่ต้องลมพริ้วไหวเป็นยิ่งนัก..

เมื่อฉันปั้นหญิงสาวดินเผาตัวน้อยๆ ของฉันสำเร็จเสร็จลง ฉันมักจะนำรูปปั้นนั้นไปวางไว้บนพื้นดินแล้วขอให้เพื่อนใจของฉันช่วยถ่ายรูป งานท่ามกลางดอกหญ้าเสมอๆ

หน้าที่ของฉันคือการทำงานและหุงหาอาหาร ฉันทำกับข้าวไม่เก่งนัก แต่ด้วยความเป็นคนชอบชิมอาหารและเป็นนักชิมมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ฉันฝ่าฟันกับการทำอาหารไปได้อย่างขลุกขลักเป็นวันๆ ไป บางวันก็ได้ชิมฝีมือของตัวเองกับอาหารที่มีรสชาติอร่อย และบางวันกับข้าวเหล่านั้นก็แปร่งปร่าสิ้นดี…

สถานที่ทำอาหารสำหรับฉันนั้นก็คือพื้นปูนที่ใต้ถุนบ้านของเรานั่นเอง ฉันวางเตาถ่านลงบนพื้นและใช้ไม้ฟืนในการหุงต้มข้าวปลาอาหาร ทั้งหม้อทั้งกระทะรวมไปถึงมือไม้และหน้าของฉันนั้นกระมอมกระแมมไปด้วยเขม่าจากควันฟืนที่ใช้นั่นเอง

โชคดีที่เพื่อนใจของฉันเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย เขาไม่พิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินนัก มีอะไรก็กินกันไปง่ายๆ แบบนั้น จึงนับเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของฉัน

ฉันชอบการไปตลาดและชอบเรียนรู้ในการทำอาหาร ฉันได้ตำราประกอบอาหารเหนือมาหนึ่งเล่ม และได้ทดลองทำกับข้าวจากผักพื้นบ้านต่างๆ ที่ฉันเพิ่งได้รู้จักมาทำอาหาร ผักเชียงดา ผักกูด และผักอีกหลายอย่างอันเป็นผักพื้นเมืองของที่นั่น ได้ถูกฉันนำมาทดลองประกอบอาหารตามตำราเล่มนั้น ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่เคยลิ้มชิมรสอาหารต้นฉบับตามเมนูที่ทำมาก่อน นอกจากการเปิดตำราและทำตาม

ถ่ายภาพโดย : องุ่น , มณีดิน และเกรียงไกร ไวยกิจ

หมายเหตุ : ภาพถ่ายบางภาพ เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อคราวหวนกลับไปเยือนบ้านบนดอยแห่งนั้นอีกครั้ง ซึ่งเมื่อก่อนนั้นยังไม่มีบ้านหลังอื่นๆอยู่เลย แต่ในช่วงหลังมีฝรั่งไปปลูกบ้านขึ้นหลายต่อหลายหลัง และความเจริญได้รุกคืบเข้าไป




รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It