Art Eye View

แม่แตงดินแดนในฝัน : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ชีวิตช่างปั้นที่ต้องรอนแรมเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เราทั้งสองต้องละทิ้งบ้านเรือนไปคราวละนานๆ การได้กลับมาบ้าน ก็คือการได้กลับมาเพื่อลงมือทำงานนั่นเอง และเมื่อสร้างงานเสร็จ เราก็ต้องออกเดินทางอีกครั้งเสมอ

ฉันพบว่าเชียงใหม่ ณ เวลานั้น แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นแหล่งของสินค้าทางศิลปะ ด้วยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่ทำงานด้านศิลปะและมีหัวในทางการสร้างสรรค์อยู่กันมากมาย แต่ผู้ซื้องานกลับมีเพียงหยิบมือเดียว และคนส่วนใหญ่ที่ซื้องานของเรา เป็นคนจากกรุงเทพฯ ดังนั้นการเดินทางเพื่อนำงานลงไปกรุงเทพฯ จึงเป็นภาระกิจที่สำคัญของเราเช่นกัน

เมื่อเวลาที่เรากลับมาถึงบ้าน ก็มักจะต้องได้รับข่าวที่บอกแจ้งมาทางเพื่อนบ้านชาวไทยใหญ่ อยู่เสมอๆ ว่า สุนัขหลายต่อหลายตัวของเรา ที่เราได้จ้างวานให้เพวกเขาหุงหาข้าวให้กินในช่วงที่เราไม่อยู่นั้น ได้ไปกัดไก่ชน ที่พวกเขาก็รับจ้างดูแลอยู่ ตายไปตัวแล้วตัวเล่าด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินให้กับเจ้าของไก่ชน

ไก่ชนนั้นมีราคาแพง เราต้องจ่ายถึงตัวละสองพันบาท ซึ่งหากเป็นตอนที่พวกเราเพิ่งเดินทางกลับไปจากกรุงเทพฯ ใหม่ๆ พวกเราก็จะมีเงินจ่ายให้ในทันที

เหตุการณ์เรื่องสุนัขของเราที่ไปกัดไก่ชน ของเพื่อนบ้านตายนี้ มีเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ในขณะที่สุนัขของเราเองก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทีละตัว..ทีละตัว

“หนูอยากไปอยู่ในที่ของคุณแม่ชีท่านน่ะ” ฉันค่อยๆ เปรยต่อเพื่อนใจของฉัน

“ที่นั่นมีน้ำประปา ที่นั่นมีไฟฟ้า..หนูอยู่ที่นี่นะ เวลาไปห้องน้ำในปั๊มน้ำมันน่ะหนูจะดีใจมากๆ เลย”

“…ที่นั่นใกล้เขื่อนแม่งัด หนูชอบกินปลา ตอนเดินตลาดที่แม่ริมเรานี่ เวลาที่หนูซื้อปลาตะเพียนมาน่ะ หนูถามเค้าว่า ปลานี้มาจากไหน?..แม่ค้าบอกว่า ปลาจากเขื่อนแม่งัด แล้วตอนหนูทำปลาน่ะ ผ่าท้องออกมา ท้องไส้ของปลานั้นสะอาดมาก อาหารที่กินเข้าไปเห็นมีแต่ตะไคร่น้ำสีเขียวๆ ไม่เห็นมีดินโคลนที่เหม็นๆ มาอยู่ในท้องของปลาเลย แสดงว่าน้ำในเขื่อนที่ปลาอยู่นั้นคงสะอาดมาก..”

” จากแม่แตงหน้าบ้านของท่าน ไปอีกสามสิบกิโลก็ถึงเชียงดาวแล้ว หนูชอบชื่อเชียงดาวที่สุดเลย เชียงแปลว่า เมือง ดาว ก็คือ ดาว เมืองเชียงดาวนั้นคงจะอยู่สูงจนเทียบได้ว่า จะถึงดวงดาว แล้วตอนที่หนูไปเดินงานสืบสานล้านนา ปีก่อนโน้น..น่ะ หนูก็ถามเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตะกร้าที่แม่หาบอยู่ว่า บ้านหนูอยู่ไหน เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า..อยู่เชียงดาว.. แค่ได้ยินชื่อเมืองในครั้งแรก หนูก็นึกรักเสียแล้ว..”

“แม่แตงนั้น ยิ่งไกลออกไปจากเมือง แต่ก็ยิ่งใกล้เข้าไปในป่าเขา หนูอยากย้ายไปที่นั่นเหลือเกิน…ถ้าเงินแสดงงานน้องนาง ได้มาแล้ว หนูเอาไปปลูกบ้านเล็กๆ ไว้ที่นั่นนะ…”

“…..นะ…นะ..นะ….แล้วบ้านหลังนี้ก็ยังอยู่ เราอยากกลับมาเมื่อไร เราก็กลับได้…เราลองไปอยู่แม่แตงกันเถอะ นะ..นะ…นะ…”

เพื่อนใจของฉันรับฟังฉันพูดอารัมภบท จนกระทั่งลงท้าย ที่ความต้องการแกมขอร้องของฉันอย่างแจ่มแจ้ง ในที่สุดเขาจึงรับปากตกลงที่จะย้ายไปอยู่อำเภอแม่แตง ตามความปราถนาของฉันแต่โดยดี..

ทว่า..ในส่วนลึกของฉัน ก็รับรู้ได้ว่า เขาคงผิดหวังลึกๆ ในการที่ต้องทิ้งถิ่นฐาน อันได้ชื่อว่า เป็นบ้านหลังแรกในชีวิตของเขาไปก็ตาม..

ในที่สุด บ้านหลังเล็กๆ ที่สร้างจากไม้ไผ่สานทั้งหลังก็ปรากฏขึ้นในสวนป่าสักแห่งนั้น เราขออนุญาตตัดต้นสักขนาดย่อมๆ เป็นจำนวนเท่ากับเสาเรือน เราเลือกจุดที่จะปลูกบ้าน ทิ้งระยะออกมาจากบ้านของพี่คนเฝ้าสวน ให้ไกลกันอยู่พอสมควร บ้านใหม่ของเรานั้นอยู่ใกล้ๆ กับต้นโพธิ์ใหญ่เก่าแก่ เราสร้างห้องน้ำเป็นปูน ไม่มีประตูและไม่มีหลังคา อาศัยการออกแบบทางเข้าออกให้เหลื่อมกันไปมาอย่างมีศิลปะโดยพื่อนใจของฉัน

น้ำบาดาลอันใสสะอาดและเย็นชื่น ไหลซู่ๆ จากฝักบัวในห้องน้ำของเรา และสุดท้ายเรายังได้สร้างโดม อันมีลักษณะทรงกลมที่มีหลังคามุงด้วยแฝก มีเสากลางเป็นต้นลิ้นจี่ใหญ่ที่เรามิได้ตัดทำลาย เราเพียงอาศัยกิ่งก้านสาขาของต้นลิ้นจี่แก่ต้นนั้น ให้รับน้ำหนักของหลังคา

เราตัดต้นไม้ในที่ของท่านแม่ชี เพียงเท่าที่จำเป็น โดมของเรามีพื้นเป็นปูนสีเขียว ไม่มีข้างฝา มีเพียงหลังคาและพื้นโล่งๆ ที่รายรอบไปด้วยป่าต้นสัก…โดมแห่งนี้คือที่ทำงานใหม่ของเรา

เมื่อบ้านเสร็จ เราค่อยๆ ช่วยกันขนของใส่รถ แล้วพากันขับรถตามกันมา ฉันนั้นขับรถเก๋ง ขนข้าวของเครื่องใช้ และสุนัขชื่อ “สำลี” ซึ่งเป็นสุนัขที่ฉันรักเป็นพิเศษ ไม่เคยปล่อยให้อยู่บ้านตามลำพังในขณะเวลาที่เราต้องออกนอกบ้านเลย สำลีและเราทั้งสอง จะอยู่ด้วยกันเสมอมาในทุกๆ ที่. ส่วนเพื่อนใจของฉันก็ขับรถปิคอัพสีแดงเลือดหมูอันเก่าคร่ำของเขา พร้อมกับขนของหนักๆ เช่นดินและเครื่องมือประกอบการงานต่างๆ พร้อมๆ กับสุนัขอีกห้าตัวของเรา ที่ยังเหลืออยู่


ฉันจากบ้านบนดอย หลังแรกของเรามาด้วยใจที่ไม่อาลัยอาวรณ์นัก เพราะฉันต้องทำเป็นตื่นเต้นในสิ่งใหม่ๆ ที่เราจะได้ไปเจอะเจอที่แม่แตง

และฉันไม่อยากที่จะทำท่าทีลังเล..อันจะทำให้เพื่อนใจของฉันต้องเศร้าใจ ฉันจึงพยายามมองหาแต่ข้อดีต่างๆ ของการย้ายมาอยู่ที่แม่แตงเพื่อบอกกับเขา…เพื่อนใจของฉันจึงสร้างเตาเผางานขึ้นมาหนึ่งเตา ใกล้ๆ กับโดมที่ทำงานที่ใหม่ของเรานั่นเอง…

บ้านใหม่ใต้ถุนสูง ซึ่งสร้างจากไม้ไผ่ของเรา ถูกออกแบบให้มีห้อง และมีนอกชานสำหรับนั่งเล่น ส่วนใต้ถุนบ้านนั้นเป็นที่เก็บจานชามและทำครัว เตาไฟและเครื่องครัว ถูกวางอยู่บนพื้นดินใต้ถุนบ้านนั่นเอง…

ชื่นใจนัก…ที่นี่มีต้นลำใย และไม้ดอก…ดอกตะเบบูญ่าสีเหลืองนั้นยามออกดอกช่างแสนสวยสำหรับฉัน อีกทั้งต้นมะม่วงและลำใย เราก็สามารถเก็บกินได้ แม้ลูกจะเล็กแกร็น ไม่สมบูรณ์ ด้วยดินบริเวณนั้นเป็นที่ดินที่เต็มไปด้วยป่าต้นสักอันร่มครึ้ม แสงแดดต้องถึงไม่เพียงพอ..แต่มันก็เป็นของกินจากธรรมชาติ ที่เราจับต้องเด็ดกินได้ โดยไม่ต้องซื้อ และเจ้าของก็อนุญาต…โอ..แค่นี้ก็มหัศจรรย์สำหรับฉัน..!!!


เมื่อแรกไปอยู่ ฉันมักจะเดินออกมาที่ตลาดซึ่งอยู่ถัดจากที่ดินของท่านแม่ชีไปเพียงเล็กน้อย เพื่อซื้อหาของกินจำพวกผักและกับข้าวสำเร็จรูป

แต่ฉันก็ตื่นเต้นกับตลาดหน้าบ้านอยู่ได้ไม่นาน ด้วยฉันสนใจที่ไปดักดูคนหาปลา ผู้นำปลาขึ้นมาจากเขื่อน เพื่อขายในตอนเช้าๆมากกว่า

ฉันจึงต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อออกไปดูปลา ที่ริมน้ำชายตลิ่งของเขื่อน ซึ่งจะมีแม่ค้าพ่อค้ามารอรับซื้อปลาที่นำขึ้นมาใหม่ๆ ฉันเองได้ขอแบ่งซื้อทีละน้อยนิด และมักจะซื้อแต่ปลาตะเพียน เพราะเป็นปลาที่ฉันชอบกินที่สุด อีกทั้งเป็นปลาที่ตายแล้ว และราคาไม่แพง

ราวยี่สิบกิโลเศษๆ จากบ้านแม่แตงไปสู่เขื่อนแม่งัด ฉันได้สัมผัสบรรยากาศท้องทุ่งนาที่แสนสวย สองข้างทางของถนน เป็นทุ่งนา ที่ยามเช้านั้นเขียวขจีไปด้วยนาแปลงเล็กๆ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และ อยู่ในวงล้อมของขุนเขา. มันช่างสวยงามจับใจ.. ยิ่งในฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือก แทนที่ฉันจะคุดคู้อยู่บนที่นอน ฉันกลับอยากตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ท่ามกลางความมืดที่ได้ยินเพียงเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ จากครัวของเพื่อนบ้านผู้เป็นคนเฝ้าสวน ที่ได้ลุกขึ้นมาก่อไฟหุงหาอาหาร ฉันกลับขับรถออกจากบ้านด้วยความตื่นเต้นและเบิกบานใจ

ดอกมหาหงส์ สีขาวเป็นทิวยาว อยู่ริมคลองน้ำหน้าบ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้ๆ เขื่อนนั้นช่างหอมหวล จนฉุดฉันให้ขับรถฝ่าละอองหมอกและความหนาวเย็นออกไปเพื่อชื่นชมมัน…

ณ หมู่บ้านเล็กๆ รอบๆ เขื่อนเหล่านั้นฉันได้โอกาสในการทำบุญใส่บาตรพระยามเช้า เพียงครั้งละหนึ่งรูป แต่ความสุขและเพลิดเพลินใจนั้นมีค่าเกินกว่าสิ่งใด..

ด้วยสายตาที่มองโลกด้วยความฝันและสวยงาม..ฉันจึงไปไหนมาไหนในที่แปลกใหม่ ตามลำพังอย่างมีความสุข ฉันรักความสดชื่นของทุ่งนายามเช้า พอๆ กับรักท้องทุ่งนาต้องแสงอาทิตย์สีทอง ในราวบ่ายสามโมงเย็น

บ่อยครั้งที่ฉันขับรถไปหยุดมองดูชาวบ้านทำนากันอยู่ไกลๆ และนึกอยากนำพาตัวเองวิ่งลงไปเกลือกกลิ้ง บนผืนนาสีทองเหล่านั้น…

แม้ในบางครั้งที่ฉันปวดปัสสาวะ ฉันก็จะลงจากรถไปนั่งปัสสาวะข้างทางอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งขึ้นรถ โดยไม่คิดกลัวอันตรายใดๆมากนัก

เมื่อยามที่กลับถึงบ้าน ฉันจึงมีเรื่องราวมากมายมาเล่าสู่เพื่อนใจของฉัน

ถ่ายภาพโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ ,นายดี และ มณีดิน





รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It