Art Eye View

สาวชาวกรุงผู้โดดเดี่ยวกับเรื่องลี้ลับ : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จวนค่ำรำไร นกบินกลับรัง รุ้งกินน้ำอวดเรียวโค้งสีสวยอยู่เทียมก้อนเมฆ เสียงนกเขาขันคูเรียกคู่ร้องกลับรัง

เสียงสนทนาของบ้านใกล้ๆ ดังมาถึงบ้านฉันยามเย็นเช่นนี้ คนบ้านนอกเลิกงานกลับเข้าบ้านมาก็พูดคุยกันด้วยเสียงดังขโมงโฉงเฉง
สำเนียงเหน่อ

เสียงเหล่านั้นทำให้บรรยากาศบ้านของฉันพลอยอบอุ่นไปด้วย เสียงรถเร่ขายผลไม้ส่งเสียงร้องเรียกคนซื้อเที่ยวสุดท้ายของวันอยู่ไกลๆ

เสียงนั้นค่อยๆ ไกลออกไป…ไกลออกไปจนเงียบหาย ไปกับท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง

วันเวลานั้นช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

เมื่อวันนี้ในปีที่แล้ว เป็นวันที่ฉันกำลังตกที่นั่งทุกข์ตรมอย่างที่สุดต่อการล้มป่วยอย่างหนักและจวนเจียนจะสิ้นชีวิตของสำลี

เมื่อวันนี้ในปีที่แล้วเป็นวันที่ฉันได้แต่กอดสุนัขที่แสนรักไว้กับอก ด้วยหมายจะให้ไออุ่นจากตัวของฉันช่วยลดคลายความเจ็บปวดและความหวาดกลัวใดๆ ที่จะเกิดกับดวงจิตน้อยๆ ของสำลีสุนัขอันเป็นที่รักของฉัน  

แล้ววันรุ่งขึ้นสำลีก็ตายจากไป


ความโศกเศร้าบังเกิดขึ้นกับฉันจากวันนั้น และวันต่อๆ มา ก็ได้เริ่มคลายลง คลายลง จนเป็นปกติ สิ่งที่คงเหลือนับแต่วันนั้นคือ อุปนิสัยของการลุกขึ้นมาทำกับข้าวหุงหาอาหารไปทำบุญที่วัดในทุกๆ วันพระอย่างมิได้ขาดของฉัน ด้วยหวังจะอุทิศส่วนกุศลให้กับสำลีนั่นเอง

ต้นมณฑาทิพย์ต้นน้อยที่อยู่บนหลุมศพต้นนั้นค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิดทีละน้อย…โดยการรดน้ำดูแลอย่างดีจากฉัน…ฉันยังบอกรักสำลีอยู่ทุกวันในเวลารดน้ำให้ต้นมณฑาทิพย์ต้นนั้น

ฉันยังคงอยู่แต่กับบ้านไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ คือการอยู่กับตัวเองและโลกส่วนตัวที่โอบล้อมฉันอยู่ งานชิ้นหนึ่งเสร็จสิ้นไป

พร้อมๆ กับการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อสร้างงานชิ้นใหม่ๆ ในบางครั้งฉันก็นึกอยากจะขับรถไปเที่ยวไหนเสียไกลๆ

แต่มาเดี๋ยวนี้ก็ให้มีห่วงเป็นแมวตัวน้อยสีดำที่ชื่อว่า “ลูกแอ๊ะ” อีกจนได้

ลูกแอ๊ะเป็นแมวที่เกิดจากแม่แมวตัวหนึ่งที่อุ้มท้องเข้ามาภายในชายคาบ้านของฉันนับแต่สำลีจากไปได้ราวสี่เดือน

แมวท้องตัวนี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ตามนอกชานและปีนป่ายบนต้นไม้ และในเวลานั้นฉันกำลังเหงาอย่างจับใจ ยิ่งตกเวลากลางคืนฉันรู้สึกราวกับว่าฉันเป็นสิ่งมีชิีวิตสิ่งเดียวที่อยู่ในบ้าน ต้องรีบเข้านอนบางครั้งก็ด้วยความกลัว กลัวทั้งคนกลัวทั้งบางสิ่งบางอย่างที่ฉันได้จินตนาการไป

เมื่อแมวตัวนี้มาบ่อยๆ เข้าฉันจึงซื้อปลาทูมาเก็บไว้และแบ่งปลาทูให้แมวกินในทุกวัน จนในที่สุดนังเหมียวตัวนั้นก็มาบ้านฉันเป็นประจำและบางวันก็นอนค้างอยู่กับฉันที่บนบ้าน

ฉันรู้สึกดีที่ฉันได้พูดคุยกับสิ่งมีชีวิตแม้จะเป็นแค่แมว มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นคลายความกลัวไปได้บ้าง

ในที่สุดแมวตัวนั้นก็ออกลูก ฉันจึงรับมันและลูกๆ ทั้งสามเข้ามาอยู่ในบ้านทั้งหมด โดยเจ้าของเก่าคือเพื่อนบ้าน ก็ยกแมวเหล่านั้นให้กับฉันเป็นอย่างดี

“ลูกแอ๊ะ” เป็นหนึ่งในลูกแมวเหล่านั้น เมื่อแรกที่เห็นหน้าลูกแอ๊ะและเห็นดวงตาคู่นั้น ฉันก็รู้สึกรักแมวตัวนี้ทันที เป็นความรู้สึกเดียวกันกับเมื่อแรกที่ฉันได้พบสำลีไม่มีผิดเพี้ยน

เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ยิ่งฉันอายุเพิ่มมากขึ้น ฉันก็ได้เห็นความพลัดพรากที่มีมาอย่างต่อเนื่องในชีวิตของตัวเองและคนอื่นๆ แต่แล้วฉันก็กลับไม่จดจำ หรือแม้จะจดจำ ก็ไม่วายที่จะเผลอไผลให้ความรักไปกับสิ่งใดๆ ที่เจอเสียบ่อยๆ

ครั้นถึงเวลาที่ต้องพรากจากกัน ความโศกเศร้าก็เล่นงานเอาจนเศร้าสร้อยอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ฉันก็คิดได้เองว่า
ในเวลาที่เราได้พบพานสิ่งที่รักแล้ว ในขณะเวลาที่เราได้พบได้รักกันนั้น ความสุขในระหว่างนั้นนั่นแหละคือสิ่งมีค่าที่ได้รับจากความรักในขณะนั้นแล้ว

มันเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ที่สุดในเวลานั้นแล้ว ครั้นแล้วเมื่อเวลาต้องจากก็ไม่ควรเสียใจ

แม้จะคิดได้แต่การปฏิบัติจริงก็ทำได้ยากเหลือเกิน


พูดถึงเรื่องการมีอยู่แล้วหายไป ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่มีแต่สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของเท่านั้น

มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งลึกลับที่ฉันอยากจะเล่าด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

ตอนนั้นฉันอายุยี่สิบปลายๆ ฉันเป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องราวลี้ลับหลายอย่าง เป็นต้นว่าคาถาอาคม พระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะอยู่ในความสนใจของผู้ชาย แต่ก็ไม้เว้นสำหรับผู้หญิงแปลกๆ เช่นฉัน

ในสมัยนั้นฉันมักชอบเที่ยวขับรถไปตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อทำบุญไหว้พระ แล้วสิ่งของที่ได้กลับมาจากการทำบุญเหล่านั้นก็เป็นพวกพระบูชา พระเครื่องเล็กๆ ต่างๆ ที่ทางวัดทำไว้ให้กับญาติโยมที่ไปทำบุญนั่นเอง จนในห้องพักของฉันนั้นต้องต่อหิ้งพระเข้าด้วยกันไว้ถึงสามหิ้งเพื่อให้พอกับจำนวนพระต่างๆ ที่มีอยู่

ในวันหนึ่งฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์ พบข่าวว่า มีหลวงปู่องค์หนึ่งซึ่งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านได้ปลุกเสกกุมารทองขึ้นมารุ่นหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการทำบุญสร้างวัด

เมื่อฉันมองเห็นรูปกุมารทองที่เป็นตัวอย่างในหนังสือพิมพ์เล่มนั้นก็เกิดนึกอยากจะบูชาขึ้นมาในทันที ทั้งๆ ที่ก็กลัว เพราะในเวลาที่ผ่านมาฉันเคยแต่บูชาพระเพียงเท่านั้น แล้วฉันก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปจอง

กุมารทองนั้นไว้หนึ่งองค์ แล้วก็รีบไปหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงกุมารทองจากหนังสือต่างๆ ในร้านหนังสือย่านวัดมหาธาตุ

แล้ววันที่ต้องไปรับของที่จองไว้ก็มาถึง ฉันใช้เวลาพักเที่ยงระหว่างวันทำงาน ขณะนั้นฉันยังทำงานอยู่ที่ธนาคารฯ ฉันจำได้ว่าวันนั้นฉันใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเป็นผ้าต่วนแนบเนื้อ สวมกระโปรงผ่าตลบสั้นๆ กับรองเท้าเป็นสายๆ ส้นสูง ฉันก้าวฉับๆ เข้าไปในวัดอันเป็นสถานที่ซึ่งต้องไปรับของที่จองไว้

ในระหว่างกลับออกมา ฉันก็แวะกินข้าวกลางวันก่อนที่จะเข้าไปทำงานต่อ ฉันสั่งก๋วยเตี๋ยวมาสองถ้วย และน้ำอัดลมสองขวด
ฉันกินเองชุดหนึ่งอีกชุดหนึ่งฉันอธิษฐานในใจว่าขอเชิญให้สิ่งที่มากับฉันนั้นทานเถิด

ตกลางคืนฉันนำองค์กุมารทองซึ่งเป็นงานปั้นรูปสัมฤทธิ์ที่บูชามานั้นวางไว้บนหิ้งเล็กซึ่งต่ำกว่าหิ้งพระเล็กน้อย ฉันสวดมนต์ก่อนนอนอย่างมากมายกว่าในทุกๆ วัน ด้วยความกลัว..และในที่สุดก็นอนหลับไป และฝันว่าฉันเห็นผู้ชายที่มีหน้าตาสะสวยแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายลิเก เครื่องทรงนั้นแสนสวยวิบวับแพรวพราวไปด้วยเพชรสีชมพูไปหมดทั้งตัว

ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก ยกมือพนมและข่มใจนอนต่อไป ท่ามกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้งพระในห้อง ในอายุเท่านั้นของฉัน ดูๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสมือนที่พึ่งทางใจของฉันเสียจริงๆ จังๆ

แม้จะเป็นสาวชาวกรุงอยู่แท้ๆ ฉันกลับรู้สึกโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน และความรู้สึกนี้เองที่ผลักดันให้ฉันเสาะหาที่พึ่งจากสิ่งลี้ลับ

ครั้นราวตีสี่เมือนาฬิกาปลุกที่ฉันตั้งไว้ดังขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาและยังเผลอบิดขี้เกียจอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอนเหมือนเช่นเคย

พลันฉันก็ได้ยินเสียงประหลาดเสียงหนึ่งมาดังอยู่ที่ข้างหูขวาของฉัน เป็นเสียงพูดในภาษาอะไรซักอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน

เท่านั้นเองฉันรีบผลุนผลันลุกขึ้นแล้วเปิดไฟสว่างทั่วห้อง ยกมือพนมไหว้ แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

พอตกค่ำเมื่อฉันกลับมาจากที่ทำงาน ก็รีบเอาขนมและของเล่นที่ซื้อมาไปวางไว้บนหิ้งของกุมารทอง พร้อมทั้งนั่งสวดมนต์อยู่พักใหญ่
เมื่อเสร็จภาระกิจแล้วฉันก็รีบออกจากห้อง กลับไปนอนที่บ้านพ่อกับแม่ที่อยู่ในซอยเดียวกันทันที ฉันทำเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน

นานจนความกลัวของฉันค่อยๆ หายไป จนในที่สุดก็ค่อยๆ กลับมานอนในห้องพักที่คอนโดของตนเองได้อีกครั้ง

และในช่วงเวลาเหล่านั้น เมื่อเวลานอนหลับฉันก็มักจะฝันไปว่าได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งเสมอๆ ในแทบทุกๆ คืน แม้ในบางวันที่ฉันป่วยไม่ได้ไปทำงาน ขณะกำลังนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ในห้อง ฉันกลับเห็นเป็นเด็กผู้ชายวิ่งเล่นอยู่ข้างๆ ฉัน..ในที่สุดความกลัวที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นความเคยชิน

เรือ่งราวประหลาดนั้นมิได้เกิดกับฉันเพียงคนเดียว แม้แต่ “นายดี” ในขณะนั้นฉันได้ไปหานายดีที่เชียงใหม่ ฉันก็ไปแต่ลำพังตัวมิได้ขนเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกุมารทองไปด้วย แต่เมื่อเวลาใดที่ฉันกินอาหารฉันมักจะบอกเชิญในใจให้มากินด้วยกันเสมอ

และในทุกๆ วันฉันต้องซื้อขนมอย่างใดอย่างหนึ่งเอามาวางไว้ในห้อง แล้วอธิษฐานบอกในใจเชิญให้กุมารทองมากินเสมอ วันนั้นฉันซื้อขนมดันกิ้นโดนัทเป็นกล่องเล็กๆ มาหนึ่งกล่องและทำอย่างที่เคย

ขณะนั้นเองนายดีก็เดินไปหยิบขนมในกล่องนั้นขึ้นมากิน ฉันสะดุดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

แล้วเวลาดึกสงัดของคืนนั้นจู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงเขาร้องด้วยความตกอกตกใจ กับบางสิ่งบางอย่าง

ฉันรีบเปิดไฟร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกกับฉันว่า เขาถูกใครสักคนมาล้วงปากเขา ฉันฟังด้วยความตกใจและรีบบอกเล่าเรื่องราวกับดี

นั่นเป็นเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่ฉันได้เคยพบเจอเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แต่ฉันก็รู้สึกอบอุ่นในสิ่งลี้ลับนั้น ฉันรู้สึกถึงความเป็นมิตรที่เขามีกับฉัน

แต่ต่อมาเมื่อฉันย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ฉันได้นำพระบูชาไปด้วยเพียงไม่กี่องค์ รวมไปถึงองค์รูปปั้นน้องกุมารทองด้วย

ชีวิตที่เชียงใหม่นั้นลุ่มๆ ดอนๆ และฉันก็ต้องเดินทางทิ้งบ้านเรือนบ่อยมาก ความใส่ใจในการบูชาซื้อหาขนมไปวางบนหิ้งก็ไม่ค่อยได้ทำเช่นเดิม จากที่เคยฝันเห็นเด็ก ในทุกๆ คืนก็ค่อยเลือนหายไป จนกระทั่งฉันรู้สึกแก่ใจว่า หากแม้เคยมีดวงจิตที่อยู่กับองค์น้องกุมารนั้นในระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมา

ในระยะเวลาหลังๆ ที่ฉันละเลยการดูแลนั้น ดวงจิตดวงนั้นเขาคงได้จากฉันไปเสียแล้ว….

และในเวลานั้นฉันก็ได้หันมาศึกษาธรรมะจากพระวัดป่า ความสนใจของฉันจึงมุ่งตรงไปที่แก่นของพระพุทธศาสนา ฉันดำเนินชีวิตด้วยความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น โดยยึดหลักของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ส่วนพระพุทธรูปต่างๆ ที่เก็บสะสมเอาไว้เมื่อครั้งยังทำงานฉันก็นำออกแจกจ่ายให้กับคนที่ฉันได้พบเจอตามที่ต่างๆ ในเวลาที่ฉันต้องการให้กำลังใจต่อพวกเขาด้วยความห่วงใย และฉันก็มักจะเอาพระเหล่านั้นมอบให้เช่นคนป่วย เด็กกำพร้า โดยฉันไม่มีอะไรจะให้แก่พวกเขา มีแต่คำให้กำลังใจที่พูดกล่าวออกไปพร้อมกับการยื่นพระในมือให้ไปในเวลานั้น

แม้ที่บ้านของฉันในปัจจุบันก็เป็นเพียงพระหิ้งเล็กๆ ที่ประกอบด้วยพระพุทธรูปไม่กี่องค์และองค์น้องกุมารทอง

การศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ฉันไม่คิดอยากสะสมสิ่งใดๆ เหมือนเช่นแต่ก่อน ยกเว้นงานปั้นของตัวเองเท่านั้นเอง

ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว

รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It