คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ฝนตกหนักเมื่อคืน ทำให้พื้นดินยังชุ่มฉ่ำ ลมแรงเมื่อคืนพัดโหมเอาต้นปีบใหญ่ที่ติดอยู่ชายคาบ้านไหวโอนโงนเงนราวกับจะโค่นหักลงมาเสียให้ได้ เงาของต้นไม้ที่ถูกแรงลมยามเมื่ออยู่ในแสงไฟนั้นช่างน่ากลัว ราวกับเงาของปีศาจ
แต่เมื่อเวลาเช้ามาถึง ดอกปีบมากมายร่วงพราวบนพื้น ในเดือนร้อนเมษานี้ช่างมีดอกไม้ออกดอกมากมายเหลือเกิน ดอกแก้ว ดอกคูน ลั่นทม ปีป เฟื่องฟ้า ต่างร่วงลงมา ราวกับมีนางฟ้าเอามาโปรย
และทั้งสองอย่างนั่นเป็นจินตนาการของยามดึกกับยามเช้าผ่านความคิดของฉัน…
ส่วนการงานของฉันเล่าก็ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งงานปั้นและงานเขียน งานปั้นชิ้นหลังสุดของฉันที่ผ่านมาคือรูปขาของหญิงสาว ฉันได้งานใหม่ๆ มาอีกราวสี่ห้าชิ้นที่ยังไม่ได้เผา
สำหรับงานเขียนหนังสือของฉันนั้น อยู่ในระหว่างที่ฉันกำลังค้นหารูปแบบใหม่ในการเขียนดูบ้าง ฉันพยายามที่จะผสมเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาปนเปไปกับเรื่องจริง แล้วคิดสร้างตัวละครขึ้นมาเอง แล้วฉันก็พบว่าฉันไม่ชำนาญมันเลยและมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ทว่าก็น่าท้าทายเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
และก็พบว่าเพียงสองเรื่องที่ได้เขียนไปนั้นฉันมีใจฝักใฝ่ไปในทางเรื่องราวต่างมิติอยู่เป็นอันมาก จากการเขียนนี้ทำให้ฉันเห็นตัวเองในมุมนี้ชัดเจนขึ้น และถึงกับตั้งคำถามกับตัวเอง และหวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ที่ทำงานศิลปะในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อหลายปีดีดักมาแล้ว พวกเขากล่าวว่า “เธอเป็นคน Mystic”
คำพูดก่อนเก่าคำนี้นั้นได้แว่บเข้ามาในใจของฉันเมื่อฉันได้อ่านเรื่องแต่งของตัวเองเรื่องสองเรื่องมานี้นี่เอง
ฉันได้ข้อคิดให้กับตัวเองขึ้นมาในการหัดเขียนเรื่องราวที่ต้องแต่งขึ้นว่า ในการทำงานใดๆ ก็ตามมันจะยากเสมอเมื่อในเวลาที่เราเริ่มต้น เมื่อพื้นฐานนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้ ในท่ามกลางเจตนาที่อยากจะให้เกิดงาน ในขั้นตอนของการพยายามหาหนทางนี้ สมองจะค่อยๆ เรียบเรียงว่าควรจะเริ่มอย่างไร ต่ออย่างไร จบอย่างไร ให้เหตุผลและคุณค่าต่อสิ่งต่างๆ
อย่างใด ให้สัมพันธ์กับงานปั้นอย่างไร และให้ประโยชน์ใดแก่คนอ่านบ้าง มันน่าจะต่อออกไปได้ดีขึ้นหากฉันให้เวลากับมัน และฉันจำเป็นต้องศึกษาจิตใจของคนอื่นๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้จะขัดกับนิสัยของฉันที่ไม่ชอบไปคลุกคลีกับผู้ใด ฉันเห็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการงานแขนงนี้ของตนเอง
ฉันพบว่าในอุปสรรคเหล่านี้ก็มีประโยชน์ในการบอกทางที่จะฝึกเขียนกับตนเองเป็นอันมากเช่นกันแต่มันก็ไม่ง่ายเลยสำหรับฉัน
ในวันนี้ฉันจึงหวนกลับมาเขียนเล่าเรื่องอันเป็นสภาวะปกติของฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกถึงการกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่เหมือนฉันหายไปจากตัวของตัวเองเสียนาน ฉันมีความสุขและคุ้นเคยกับสิ่งที่ฉันเป็นนี้อย่างที่สุด
แต่ในส่วนลึกมนต์เสน่ห์บางอย่างของสิ่งที่ยังไปไม่ถึง ก็มีความท้าทายให้ฉันฝันถึงการมีนิยายของตนเองสักเรื่องหนึ่งในวันข้างหน้า
ฉันชอบซื้อหนังสือเข้าบ้านแต่มักอ่านไม่ค่อยจบ ในระยะหลังๆ นี้ การอ่านในแต่ละหน้านั้นราวกับเป็นการกินขนมแสนอร่อย ฉันค่อยๆ กินมันทีละนิด และเก็บเอาไว้กินวันหลัง ผลคือเรื่องราวนั้นถูกคั่นค้างไว้ด้วยที่คั่นหนังสือ และมันยังไม่เคยเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย
ในวันนี้ฉันหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง และไปตัดดอกกุหลาบที่แปลงกุหลาบของฉันมาหนึ่งดอก หนังสือเล่มนี้มิได้วางอยู่บนชั้นหนังสือแต่อย่างใด มันถูกวางอยู่บนโต๊ะและถูกคั่นไว้ด้วยโปสการ์ด
ใช่ !!! มันเป็นหนังสือที่ฉันกำลังอ่านอยู่
ความสนใจในเรื่องราวของผู้หญิงและภาพปกทำให้ฉันประทับใจและคว้ามันมาจากร้านหนังสือเก่าในจตุจักร
ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวของผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่มิได้มีชีวิตตามกรอบของสังคม พวกเธอเก่งกล้าสามารถกันไปคนละอย่าง แต่การละเมิดขนบของสังคมก็ทำให้พวกเธอถูกประนามในยุคสมัยที่พวกเธอมีชีวิตอยู่
การหยัดยืนต่อสู้ ในความเชื่อของตนเอง โดยไม่สนใจต่อสังคมที่พยายามตีกรอบให้พวกเธอ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวในชีวิตอันน่าศึกษา จากพวกเธอยิ่งนัก
อ่านไปเพียงสองสามเรื่องฉันก็ประทับใจกับบุคลิกภาพของสตรีในหนังสือเล่มนี้หลายต่อหลายคน เป็นต้นว่าคำจำกัดความของผู้หญิงนักเต้นรำที่ชื่อว่า “อาซิโดร่า ดันแคน” ที่กล่าวไว้สั้นๆ ว่า
“ฉันเป็นนักแสดงออกซึ่งความงาม ฉันใช้เรือนร่างของตัวเองเป็นสื่อ เช่นเดียวกับนักเขียนใช้ถ้อยคำ”
อ่านเรื่องของเธอจบมันก็ทำให้ฉันคิดปั้นเธอขึ้นมาในแบบของฉันขึ้นมาทีเดียว
และฉันจึงลงมือปั้นขาหญิงสาวขึ้นมาคู่หนึ่ง มันคล้ายๆ กับขาที่เห็นในหนังสือ
เมื่อปั้นเสร็จฉันไปตัดดอกกุหลาบมาวางเคียงแล้วถ่ายรูป เพื่อเอามาฝากพวกคุณ..
ฉันมีบันทึกเกี่ยวกับขานั้น มันเป็นบันทึกส่วนตัวของฉันที่ได้เขียนขึ้นเองประกอบกันดังนี้…
บ่อยไป.. ที่คนเราจะหนีจากความรู้สึกหนึ่ง ไปสู่อีกความรู้สึกหนึ่งได้โดยการนึกฝัน
ก็คงมีนะ.. คนที่พยายามสลัดความทุกข์ในใจโดยการออกไปเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า..สิ่งที่แปลกออกไปหรือแม้กระทั่งยอมไปเจอสิ่งที่ย่ำแย่เพียงเพืี่อให้กลบเกลื่อนลืมเลือนหรือเบี่ยงเบนใจไปจากความทุกข์แรกนั้น
และเช่นกัน..ก็คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะตั้งใจหนีจากวันเวลาอันน่าเบื่อหน่ายไปด้วยวิธีการง่ายๆ ที่เรียกว่าการนอนหลับ
และนี่คงเป็นไม่กี่ทางออกสำหรับคนที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก
แต่ขอให้รู้เถิดว่า “วันพรุ่งนี้จะดีกว่า” และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
ด้วยขาทั้งสองข้างที่จะพาเราไป และด้วยใจที่มุ่งมาดปราถนานั่นเอง
ภาพถ่ายโดย ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: [email protected]
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.