หลังจากที่คว้าปริญญาเกียรตินิยมอันดับ 1 คณะอักษรศาสตร์และจิตวิทยาที่ Georgetown University วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐฯ มาชื่นชมได้สมใจ “นุก-กมลพร บุรณศิริ” ลูกสาวคนโตของ ม.ล. รดีเทพ เทวกุล และ วีรนต บุรณศิริ จึงหอบหิ้วความสำเร็จกลับมาเมืองไทยให้คุณแม่เชยชม พร้อมใช้ความรู้ความสามารถที่มีมาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเป็นนักบริหารทรัพยากรบุคคลรุ่นใหม่ไฟแรง ในตำแหน่ง Unilever Future Leader Program (UFLP) ที่ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยเทรดดิ้ง จำกัด
นุกเล่าถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากการทำวิทยานิพนธ์เมื่อครั้งที่ศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์และจิตวิทยา ที่ Georgetown University วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งได้ทำเกี่ยวกับผลกระทบของโลกร้อน (Climate Change) ที่มีต่อประเทศไทย เมื่อเรียนจบเลยหวังว่าจะทํางานในบริษัทที่ให้ความสำคัญสูงเกี่ยวกับความยั่งยืน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งยูนิลีเวอร์ตอบโจทย์นั้น
“ตำแหน่งการทำงานของนุก เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อสรรหาและสร้างสรรค์ผู้บริหารรุ่นใหม่ให้กับองค์กร ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ได้ลงมือปฏิบัติงานที่ท้าทาย ที่จะมีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งตำแหน่งนี้มีการแข่งขันสูง ต้องผ่านการคัดเลือกมากมายจากนักศึกษาจบใหม่ ที่ต่างคนก็มีดีกรีที่ไม่ธรรมดา ส่งเข้ามาสมัครกันมากมาย”นุกอธิบายถึงหน้าที่ของตัวเอง
พร้อมเล่าต่ออีกว่าการทำงานในตำแหน่ง นักบริหารทรัพยากรบุคคล มีความท้าทายทุกวินาที เพราะเธอไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน แต่เธอโชคดีที่ได้ทำงานในองค์กรที่ให้การสนับสนุนพนักงานในทุกด้าน
“ยูนิลีเวอร์เป็นบริษัทที่เขาสอนจริงๆ เขาสนับสนุนในทุกเรื่อง อย่าง โปรเจกต์ที่ยากก็สามารถทำสำเร็จได้ เพราะเขาให้อิสระในการทำงานสูงมาก ที่สำคัญ งานตรงนี้มีความท้าทาย เพราะนุกยังไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน ดังนั้น เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจในโจทย์ที่รับมา และตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน พร้อมมุ่งมั่นที่จะลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จและให้ดีที่สุด นุกไม่ได้มองแค่ว่าเราจะทำงานแค่ตามเป้าหมายของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่คำว่าเป้าหมายของนุกมันต้องมากกว่านั้น ต้องทําให้ได้เหนือกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นุกถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจากที่บ้าน”
การทำงานทุกหน้าที่ล้วนต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มากมาย กว่าที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่สาวรุ่นใหม่ไฟแรงคนนี้ก็จะตั้งสติและค่อยๆ หาข้อมูลมาประกอบการแก้ปัญหาทุกอย่างให้ลุล่วงไปด้วยดี
“ส่วนมากถ้ามีปัญหาในงานโปรเจกต์ที่ทำ ไม่ประสบความสำเร็จ เราก็จะมาดูก่อนว่า สาเหตุของปัญหาคืออะไร ค่อยๆ หาข้อมูลว่าทีมที่ทำโปรเจกต์แบบนี้มาก่อนเขาเคยมีปัญหาแบบนี้หรือเปล่า ก็ดูว่าเขาหาข้อมูลทำอย่างไร เพื่อที่จะแก้ปัญหา แต่ถ้าเราทำเองไม่ได้เราก็จะคุยกับทีมงาน ขอคำปรึกษาจาก LINE แมเนเจอร์ อีกที พยายามคิดให้มันง่าย แต่รู้สึกว่ายูนิลีเวอร์เป็นบริษัทให้อิสระในการทำงานสูงมาก”
นุกเล่าถึงโปรเจกต์ที่รับผิดชอบในฐานะบริหารทรัพยากรบุคคลว่า มีอยู่ 2 โปรเจกต์ที่เธอต้องขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ
“โปรเจกต์แรก คือการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และช่วยสร้างสังคมที่เท่าเทียมให้มากขึ้นตามนโยบายของบริษัท ที่จะรับคนพิการเข้ามาทำงานให้ได้ถึง 5% ของพนักงานทั้งหมด ภายใน 5 ปี ทำให้เราต้องศึกษาว่ามีงานด้านไหนที่จะเหมาะกับพวกเขา ไปพร้อมกับการจัดฝึกอบรมพนักงานในองค์กร เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี และความเข้าใจให้มากเพียงพอที่จะร่วมงานกับคนพิการในอนาคตได้ ตอนแรกโปรเจกต์ก็จะช้านิดหนึ่ง เพราะเราไม่ได้ทำมาตั้งแต่แรก ส่วนอีกโปรเจกต์คือส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดีให้กับพนักงาน ซึ่งเรื่องนี้ต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในเมืองไทยอาจยังไม่ค่อยโฟกัสเรื่องนี้มากนัก ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ปัญหาสุขภาพจิตและความเครียดในเรื่องต่างๆ ของพนักงาน เป็นอีกเรื่องที่ท้าทายให้เราเข้าไปช่วยเหลือ และเอาใส่ใจสุขภาพจิตของพนักงานให้มากเป็นพิเศษ”
แถมในปีหน้านี้ ยังถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเธอ เพราะนุกได้รับเลือกให้ไปทำงานต่อที่ Unilever ลอนดอน โดยเริ่มจะบินไปเริ่มงานตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ซึ่งนี่ถือเป็นความฝันของสาวน้อยคนนี้ และถึงแม้ความท้าทายในการงานจะเพิ่มมากขึ้น แต่เธอก็ตอบรับโอกาสนี้ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถูกถามว่า เป็นคนทำงานแบบมีเป้าหมายที่ชัดเจนขนาดนี้ มีใครเป็นต้นแบบในการทำงาน สาวสวยไฟแรงตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า คุณแม่เป็นต้นแบบคนแรกทั้งในชีวิตและการทำงาน ส่วนอีกคนที่ยึดถือเป็นแบบอย่างในการทำงานคือ หัวหน้างาน
“คนแรกต้องเป็นแม่ เพราะคุณแม่เป็นซิงเกิลมัม เลี้ยงลูกถึง 3 คน แต่สามารถบริหารเวลาในการดูแลลูกและทำงานได้อย่างลงตัว มันทำให้เรารู้สึกว่าแม่สามารถจัดการได้อย่างไรในสิ่งเหล่านี้ และอีกคนคือหัวหน้างานของนุกตอนนี้คุณยศยุต สหวัชรินทร์ หรือพี่เอ ตั้งแต่นุกเริ่มทํางานที่ยูนิลีเวอร์ เขาเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับทีมงานอย่างมาก พี่เอจะหาเวลาเช็คอินพูดคุยกับทีมงานทุกคนทุกวัน นุกรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมาก และเป็นแบบอย่างที่ดีกับลูกน้อง ทุกโปรเจกต์ที่เขารับผิดชอบ เขาจะดูทุกแง่มุมและวิเคราะห์อย่างละเอียดให้ชัดเจนว่า ทุกคนทุกภาคส่วนต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด ทั้งในมุมของบริษัทและในมุมของพนักงาน นุกรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้เรียนรู้วิธีการคิดและวิธีการทํางานกับคนที่เป็นมืออาชีพอย่างพี่เอค่ะ”
ในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายองค์กรต้องให้พนักงานหยุดทำงานที่บ้าน เพื่อสนับสนุนมาตรการการแพร่ระบาดของไวรัส ซึ่งสาวสวยไฟแรงเองก็ต้องทำงานที่บ้านเช่นกัน ซึ่งเจ้าตัวแบ่งปันเคล็ดลับ WFH แบบไม่มีเบื่อให้สาวๆ ออฟฟิศทุกคนฟังอย่างน่าสนใจ
“ยอมรับว่าช่วงแรกที่ WFH เราก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน เพราะไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานได้เหมือนที่ออฟฟิศ แต่เราต้องพยายามบล็อกเวลาให้ได้ ซึ่งนุกจะจัดตารางทุกเช้าเวลา 06.30 น. เราจะตื่นมาดื่มกาแฟ แล้วเล่นโยคะ และก็ไปอาบน้ำ พอแปดโมงเช้าถึงเริ่มทำงาน เราจะต้องจัดตารางว่ามีประชุมตอนไหน เพื่อที่จะได้มีเวลาดูแลตัวเอง รู้สึกว่าตั้งแต่เวิร์กฟอร์มโฮมบางครั้งมันยาก เพราะเราต้องทำทุกอย่างอยู่ที่บ้าน ตอนแรกๆ เราจะรู้สึกว่าเราทำงานทั้งวันทั้งคืนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เอาคอมฯ ไว้ข้างเตียงทำงานจนหลับแต่ตอนนี้เรามาเปลี่ยนว่า เราต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น จะทำงานถึงแค่สองทุ่มแล้วปิดทุกอย่างไปเลยจนถึงวันต่อไป”
นุกเล่าต่อว่า เธอต้องพยายามบริหารเวลาทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุลกันมากที่สุด “ถ้าเราอยากให้ชีวิตมีความสมดุลทั้งเรื่องงานและเวลาส่วนตัว เราต้องพยายามล็อกเวลาเพื่อที่จะทำอย่างอื่นที่เราชอบในแต่ละวัน ตอนเช้าก็จะหาเวลาที่จะทำโยคะก่อนเริ่มงาน แล้วก็ในช่วงเย็นประมาณห้าถึงหกโมงเย็น เราก็จะหาเวลาไปออกกำลังกาย ด้วยการไปวิ่งหรือพาน้องหมาไปวิ่งเล่น พยายามล็อกเวลาไว้ให้ดี อย่าง วันเสาร์-อาทิตย์ถ้าต้องมีงานทำบ้าง เราก็จะพยายามบริหารเวลา เพื่อที่จะได้อยู่กับครอบครัวหรืออ่านหนังสือ พยายามเก็บเวลานั้นให้ตัวเองจริงๆ แต่ตอนนี้เราก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกัน ที่จะให้มันมีความสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิต”หญิงสาวเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
เพราะเป็นคนที่ทุ่มเทกับการทำงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อสาวรุ่นใหม่ไฟแรงมีเวลาว่าง กิจกรรมสุดโปรดที่เธอจะทำเป็นลำดับแรกคือ การสวมชุดวอร์ม และรองเท้าผ้าใบคู่ใจ เพื่อเอ็กเซอร์ไซส์ บริหารร่างกายให้แข็งแรงสดใสรับการทำงานอันแสนหนักหน่วง
“เวลาว่างนุกชอบออกกำลังกาย บริหารร่างกายมากที่สุด นุกชอบวิ่ง รู้สึกเหมือนมันช่วยให้สามารถผ่อนคลายในช่วงเวลาทั้งวันได้หมด เพราะเราได้โฟกัสกับสิ่งตรงหน้าในการวิ่งเหมือนเป็นการฝึกสมาธิ ทำให้เราลืมสิ่งต่างๆ ที่ต้องคิดมากในวันนั้นไป เพราะเราจะต้องตั้งเป้าหมายวิ่งให้ไกลขึ้นในทุกวัน วิ่งให้เร็วขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มวิ่งหรือเล่นโยคะ มันก็มีส่วนช่วยในงานได้เหมือนกัน เพราะเรามีสมาธิในการทำงานมากขึ้น”
เห็นเป็นสาวสมัยใหม่นักเรียนนอกแบบนี้ หากแต่สไตล์การแต่งตัวของเธอนั้นขัดกับบุคลิกหวานๆ อย่างสิ้นเชิง
“ส่วนใหญ่แล้วจะชอบแต่งตัวแนวสปอร์ต ตั้งแต่มีโควิดเราก็จะแต่งตัวสบายๆ เพราะไม่ได้ออกไปไหน แต่ถ้าไม่มีโควิดสไตล์การแต่งตัวก็จะเรียบง่ายเน้นสีสันสดใส เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กก็จะชอบแค่ขาวดำอย่างเดียว ตอนนี้ก็จะพยายามแต่งตัวให้ดูมีสีสันสดใสมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรที่มันเซ็กซี่เกินไป เรียบง่ายแต่ยังมีความสดใสสบายตา”
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่เจ้าตัวชื่นชอบ และประทับใจมาถึงทุกวันนี้คือ การเที่ยวน้ำตกและพิพิธภัณฑ์ ถ้าได้อยู่สองที่นี้ทั้งวันก็ไม่มีเบื่อ
“ความจริงนุกชอบเที่ยวแนวธรรมชาตินิดหนึ่ง ชอบไปเที่ยวน้ำตก และที่ชอบมากที่สุดคือ ปีที่แล้วไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณที่จังหวัดกาญจนบุรี ไปว่ายน้ำ ฟังเสียงน้ำตกไหลกระทบพื้นน้ำ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากค่ะ และอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบมากอยู่ได้ทั้งวันไม่เบื่อก็คือ พิพิธภัณฑ์ค่ะ เพราะนุกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ พิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอิตาลี เราแค่นั่งดื่มกาแฟรับประทานอาหาร และดูพิพิธภัณฑ์ทั้งวันก็มีความสุขแล้ว” สาวสวยรุ่นใหม่ไฟแรงสรุปทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข
Comments are closed.