Interview

คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว “วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์” ส่งต่อความเนี้ยบจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก!

Pinterest LinkedIn Tumblr


หลังจากที่หย่าขาดกับสามีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และต้องดูแลลูกชายวัย 9 ขวบ “น้องพชร-ด.ช.พชรพัชร์ ลิ่วเฉลิมวงศ์” ทำให้ “ร้อยเอกหญิง แคท-วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์” กลายเป็นซิงเกิลมัมไปในทันที และเธอเองก็ภูมิใจในฉายาคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่หลายคนมอบให้ เพราะการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นไม่ง่ายเลย แต่ผลผลิตที่เกิดจากปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัย ที่เธอเองได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากคุณพ่อคุณแม่ จนถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูก ทำให้เธอภาคภูมิใจและอิ่มเอมทุกครั้งที่เห็นลูกรักเติบโตเป็นคนดีของสังคม และจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข


คุณแม่คนสวยอัปเดตชีวิตส่วนตัวว่า เธอมีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่างมาก แต่ก็ต้องมีเวลาดูแลลูกชายได้เป็นหลัก

“ตอนนี้ทำธุรกิจของครอบครัว เป็นพิธีกรรายการทีวีอยู่ช่อง 5 รายการ ไฮ 5 ทำแบรนด์เสื้อผ้า แต่หน้าที่หลักๆ คือ ดูแลลูก โดยแคทจะทำงานทุกอย่างที่สามารถมีเวลาดูแลลูกได้ เพราะเราเป็นคนดูแลเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องรับ-ส่ง อาหาร พาไปเรียนพิเศษ ทำกิจกรรมต่างๆ ค่อนข้างเต็มเวลาเลยเราต้องให้เวลาลูกให้เยอะที่สุด”


แคทย้อนอดีตเมื่อ 3 ปีที่แล้วหลังจากที่เธอหย่าขาดกับสามี และต้องดูแลลูกชายวัย 3 ขวบเพียงลำพัง เธอเตรียมตัวเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวขนาดที่ว่า ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ถึงวิธีการเลี้ยงลูกเลยทีเดียว

“ตอนนั้นเราเพิ่งหย่ากับสามี และก็คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเลี้ยงลูกได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่ขาดอะไรไปในชีวิต ดังนั้น เราจึงไปปรึกษาจิตแพทย์ ถึงแนวทางวิธีการเลี้ยงลูกในสถานการณ์ต่างๆ เพราะเราต้องดูแลลูกทุกอย่าง และแคทคิดว่าการไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย และแคทโชคดีที่อยู่กับครอบครัวใหญ่ มีคุณพ่อคุณแม่ จึงนำประสบการณ์ของท่านมาปรับใช้ในการดูแลลูกอย่างเต็มที่ ที่สำคัญ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ให้ความร่วมมือกับเราในการเลี้ยงลูก แม้ท่านจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเราดูแลลูก แต่ก็ไม่ได้ตามใจหลานเสียทุกเรื่อง อย่างเวลาที่แคทดุลูกหรือเถียงกันอยู่ ท่านจะไม่เข้ามายุ่งเลย”


แม้จะต้องเลี้ยงลูกเพียงคนเดียวเต็มเวลา แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณแม่แคทรู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเฝ้าฟูมฟักดูแลมาเป็นอย่างดีแล้ว กลับทำให้เต็มไปด้วยความสุข ลืมความเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“บางครั้งการเลี้ยงลูกคนเดียวก็มีบ้างที่เหนื่อยเวลาลูกงอแง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความสุขเสียมากกว่า พอเราเห็นผลลัพธ์ที่ทุ่มเทไปก็มีความสุข เช่นเวลาไปโรงเรียน น้องก็จะได้รับคำชมจากคุณครูและผู้ปกครองท่านอื่นว่า น้องพชรเป็นเด็กมีน้ำใจชอบช่วยเหลือแบ่งปันคนอื่น หรือเวลาที่ไปไหนมาไหนกับเรา น้องก็จะช่วยเราถือกระเป๋า เป็นเด็กผู้ชายที่คอยดูแลเรา”


เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่ปลูกฝังเรื่องความมีวินัย และการให้เกียรติคนอื่น อันนำมาซึ่งการรู้จักกาลเทศะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แคทได้ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก และถ่ายทอดดีเอ็นเอนี้มาสู่ลูกอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“เราเป็นแม่ที่ค่อนข้างดุ ลูกจะรู้ว่าแม่ดุมาก แค่แม่ปรายตามองลูกจะหยุดทันที แต่เราก็จะเป็นแม่ที่มีเหตุผลกับลูก มักจะบอกเขาว่าที่แม่ดุเพราะแม่รัก ถ้าแม่ไม่ดุก็ไม่มีใครกล้าดุ ไม่มีใครรักและหวังดีกับลูกมากกว่าแม่แล้ว แม่ขอให้พชรเกลียดแม่ดีกว่าให้คนอื่นมาเกลียดพชร เราจะบอกลูกแบบนี้ทุกครั้ง แคทไม่ได้ต้องการให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่งขอแค่ให้เขาเป็นคนดี อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มีกาลเทศะ รู้จักการให้เกียรติคนอื่น ไม่ก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือแม้แต่เป็นแม่บ้านก็ตาม เราต้องไม่จิกหัวเรียกใคร ต้องรู้จักการให้เกียรติผู้อื่นเสมอ นี่คือสิ่งที่เราจะสอนลูกเรื่อยมา เพราะตอนเป็นเด็กคุณพ่อคุณแม่ก็สอนเรามาเช่นนี้เหมือนกัน” แคทเล่าถึงวิธีการเลี้ยงลูก


ดูจากวิธีการเลี้ยงลูกของแม่แคทแล้ว ยกให้เธอขึ้นทำเนียบคุณแม่สายฟาดไปเลย แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นคุณแม่แคทก็เปลี่ยนจากสายฟาดมาเป็นสายบุ๋นแทน

“อย่างที่บอกว่าเราเป็นแม่ที่ค่อนข้างดุ แต่พอน้องโตขึ้นแก๊งแม่ๆ ก็จะบอกเราว่าน้องพชรเริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว และเขาเป็นเด็กผู้ชายอย่าไปดุเขามาก เขาต้องการความภูมิใจในตัวเอง รู้จักอายเมื่อเจอแม่ดุต่อหน้าคนอื่น ดังนั้น ตอนนี้เราจะเปลี่ยนจากการดุมาเล่นกันเป็นเพื่อน เราจะใช้วิธีโยนคำถามเพื่อให้เขาตอบมากกว่าการออกคำสั่ง เช่นเมื่อเขาทำผิดเราก็จะถามว่า ทำแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไร เพื่อฝึกให้เขามีเหตุผลในการใช้ชีวิต เราไม่ได้คาดหวังกับคำตอบที่เขาจะตอบเรา แต่เราเพียงแค่อยากให้ลูกมีคำตอบ เหมือนหาเหตุผลมาประกอบในการกระทำของตัวเองเสียมากกว่า”


เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่น้องพชรวัยเพียง 6 ขวบ จนตอนนี้ลูกชายวัยซนกำลังเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว คุณแม่แคทจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับช่วงวัยของลูก เพื่อให้เขาได้เรียนรู้วิธีการรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้เอง โดยเน้นให้ลูกรู้จักการปล่อยวาง และปูพื้นฐานให้ลูกมีความสุขในโลกใบนี้ให้ได้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด

“แคทกับลูกจะคุยกันทุกเรื่อง เวลาเขามีปัญหาอะไรก็จะมาเล่าให้แม่ฟังตลอด ส่วนใหญ่เราจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทุกวันนี้น้องพชร 9 ขวบแล้วก็ยังนอนกับแม่อยู่ ซึ่งเราเคยถามว่าอยากแยกห้องนอนไหม น้องก็บอกว่ายังอยากนอนกับแม่ เราเองก็ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ ที่จะปิดบังลูก เราจึงนอนห้องเดียวกันมาตลอด ดังนั้น แคทจะเป็นทั้งแม่และเพื่อนให้ลูกในเวลาเดียวกัน

เราพยายามสอนให้เขามีวิธีรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามากระทบในชีวิต เราจะสอนเขาเสมอว่า ของบางอย่างมันอาจไม่ถูกใจเราเสียทุกเรื่อง แต่ถ้าเราสามารถปล่อยวางได้ก็ต้องปล่อย เช่นเด็กวัยนี้มักจะมีปัญหาการบูลลี่กัน ถ้าเราไม่ทำเหมือนเพื่อนก็จะโดนเพื่อนงอน เด็กบางคนอาจเฟลถึงขั้นไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งเราก็จะสอนลูกว่า เราต้องปล่อยวางความไม่ชอบใจของใครหลายคนให้ได้ ตั้งแต่วัยเด็กจนย่างเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งถ้าเราทำได้ เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในโลกของตัวเอง โดยไม่ได้เอาความสุขของเราไปแขวนไว้ที่คนอื่น”


จากการที่ต้องดูแลลูกทุกอย่างตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน จนกลายเป็นแม่ลูกตัวติดกันไปเสียแล้ว ก็ใช่ว่าแคทจะไปปิดกั้นพัฒนาการของลูก เพียงแต่เธออยากใช้ทุกวินาทีอยู่กับลูกให้คุ้มค่าที่สุด

“ทุกวันนี้น้องพชรมีโลกส่วนตัวสูงมากขึ้น ชอบนั่งดูโทรศัพท์มือถือคนเดียว อย่างเวลานี้ต้องเรียนออนไลน์ เขาก็จะจัดตารางการเรียนหนังสือ ท่องหนังสือ ทำการบ้านด้วยตัวเอง ส่วนเราก็จะกอบโกยช่วงเวลาที่ลูกยังนอนห้องเดียวกับเราอยู่ โอบกอดลูกให้มากที่สุด บอกรักลูกทุกวัน เราต้องใช้วินาทีนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะสักวันหนึ่งถ้าเขาโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็ต้องไปมีชีวิตของเขาเอง โดยมีแม่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ”


ประสบการณ์นอกตำราเรียนย่อมมีความสำคัญกับลูกเสมอ เพราะวิชาการหนาเป็นพันหน้า ก็ยังไม่สามารถทำให้ลูกรู้จักการใช้ชีวิต เท่ากับการพาไปท่องโลกกว้างนอกห้องเรียนด้วยตัวเอง

“เมื่อก่อนแค่จะพาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อสร้างประสบการณ์นอกห้องเรียน เขาจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตภายนอกว่าเป็นอย่างไร รวมถึงการปรับตัวเข้ากับสถานที่ต่างๆ แต่ตอนนี้บ้านเราติดสถานการณ์โควิด ทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ ดังนั้น กิจกรรมของเราสองคนแม่ลูกช่วงนี้จะอยู่ที่บ้านเป็นหลัก เราจะเล่นเซิร์ฟสเก็ต พัดลูกกอล์ฟที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เล่นสกูตเตอร์ เป็นหลัก และเราจะมีคืนมูฟวีไนต์อาทิตย์และหนึ่งวัน ซึ่งคืนนั้นนอกจากน้องพชรจะได้ดูหนังที่ถูกใจแล้ว ยังได้กินป๊อบคอร์น ของหวาน และซูกัสอีก 1 คืน ซึ่งปกติที่บ้านจะไม่ให้เขากินซูกัสเลย”

การสนทนาถึงเคล็ดลับการเลี้ยงลูกมาถึงตอนท้าย เมื่อคุณแม่คนเก่งถูกคำถามจี้ใจดำว่า คาดหวังกับอนาคตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวอย่างไรบ้าง คุณแม่คนสวยยิ้มกว้างแทนคำตอบทุกอย่างว่า ไม่ได้คาดหวังให้เขาเป็นคนเก่งแต่อยากให้ลูกเป็นคนดี และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เพียงเท่านี้หัวใจของคนเป็นแม่ก็ไม่ต้องการสิ่งใดจากลูกอีกแล้ว

Comments are closed.

Pin It